สตรีนิยม และ ทฤษฎีมาร์กซิสต์ (Feminism and Marxism)
แนวความคิดสตรีนิยมได้มีพลวัตรมาสู่การโยงเอาทฤษฎีสตรีนิยมเข้ากับทฤษฎีมาร์กซิสต์ หนึ่งในทฤษฎีเชิงปฏิวัติ (Revolutionary Theory) ซึ่งมีจุดมุ่งหมายในการพัฒนาตัวทฤษฎีเพื่อการวิเคราะห์เงื่อนไขสมัยใหม่ ดังนั้น แนวความคิดสตรีนิยมมาร์กซิสต์ (Marxist Feminism) หรือสตรีนิยมสังคมนิยม (Socialist Feminism) คือการนำเอาทฤษฎีมาร์กซิสต์มาดัดแปลงเพื่อสร้างความเข้าใจในทฤษฎีสตรีนิยมสังคมนิยมร่วมสมัย และหากต้องการทำความเข้าใจทฤษฎีสตรีนิยมสังคมแล้ว จึงจำเป็นจะต้องเข้าใจทฤษฎีมาร์กซิสต์ดั้งเดิมด้วย
ทฤษฎีมาร์กซิสต์สามารถทำความเข้าใจผ่าน 3 มุมมอง คือ
1. ทฤษฎีกำหนดนิยมทางวัตถุ (Material Determinism)
ทฤษฎีนี้มองว่าวิถีการผลิตในชีวิตเงื่อนไขวัตถุนิยมนั้นกระบวนการทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองหรือสิ่งแวดล้อมที่เป็นอยู่ในสังคมจะเป็นตัวกำหนดจิตสำนึกของปัจเจก มิใช่ปัจเจกเป็นผู้กำหนดจิตสำนึก และจิตสำนึกนั้นจะตอบสนองต่อผลประโยชน์ของชนชั้นนายทุน
2. ทฤษฎีเกี่ยวกับแรงงานและระบบทุนนิยม
ในส่วนนี้งานของ Karl Marx และ Frederic Engle เรื่อง Communist Manifesto ได้กล่าวถึงการเปลี่ยนสภาพมนุษย์ให้กลายเป็นสินค้า และการที่การกระทำของมนุษย์ได้ถูกแยกส่วนจากตัวของเขาเอง จนตัวเขาเกิดความรู้สึกแปลกแยก (Alienation) ต่องานที่เขาทำและสินค้าที่เขาผลิตขึ้น และการที่ค่าส่วนต่างของค่าแรงกับราคาจริงของสินค้า (กำไร) นั้นได้ตกเป็นของนายทุน ทั้งที่บางครั้งกำไรอาจจะมากกว่าค่าแรงของกรรมาชีพ
3. บางส่วนจากทฤษฎีสตรีนิยมที่สร้างขึ้นจากผลงานของ Marx และ Engel
เช่น การกำเนิดครอบครัว ทรัพย์สินส่วนบุคคล และรัฐ (the Origin of Family, Private Property, and the State) ที่มองว่าในสังคมบรรพกาลนั้นเป็นสังคมที่สตรีเป็นใหญ่ บ้านเมืองจะถูกปกครองโดยสตรี และบุรุษมีหน้าที่ออกไปล่าสัตว์
การที่สตรีเป็นใหญ่นั้นก็เพราะพวกเธอเป็นเจ้าของแรงงานจากการอยู่อาศัยเป็นครอบครัวคอมมูนเป็นครอบครัวหลายผัวหลายเมีย จึงทำให้การสืบทอดสายตระกูลนับผ่านทางมารดา จนเมื่อสังคมได้เข้าสู่ยุคเกษตรกรรม กลุ่มผู้ชายได้เลิกการล่าสัตว์และทราบว่าตนมีการผลิตมนุษย์รุ่นต่อไป เกิดการสะสมทุน ทำให้ผู้ชายที่เป็นเจ้าของทรัพย์ต้องการความแน่ใจในสายเลือดของตน ต่อมาครอบครัวแบบผัวเดียวเมียเดียวที่มีผู้ชายเป็นคนกำหนดจึงเกิดขึ้น ณ บัดนั้น
แนวความคิดสตรีนิยมสังคมนิยมมีนักคิดที่สำคัญ คือ Margaret Benston ได้เขียนเรื่อง เศรษฐศาสตร์การเมืองแห่งการปลดปล่อยตรี (The Political Economy of Women’s Liberation) ในปี ค.ศ.1969 โดยเสนอว่าการทำงานในครัวเรือนของสตรีนั้นไม่ได้นับรวมอยู่ในระบบเศรษฐกิจ หรืออาจเรียกได้ว่าไม่ได้นับเป็นงานเลยด้วยซ้ำ ผู้หญิงจึงอยู่ในสภาพที่ด้อยกว่าเพราะทำงานที่ไม่ได้รับค่าจ้างจึงแทบไม่มีโอกาสจะเท่าเทียมกับบุรุษที่ได้รับค่าแรงงาน
จากนั้น Lise Vogel ได้เขียนงานที่ค่อนข้างขัดแย้งกับ Margaret Benston ผลงานนั้นชื่อ ครอบครัวโลก (The Earthly Family) ในปี ค.ศ.1973 ซึ่งเสนอว่า การทำงานบ้านเป็นการสร้างสินค้าและบริการเพื่อการบริโภคของตนไม่ได้อยู่ในระบบทุนนิยม ดังนั้น งานของแม่บ้านจึงเป็นงานไม่มีความแปลกแยกเมื่อเทียบกับงานของบุรุษ และการทำงานที่ไม่สร้างความแปลกแยกนี้เองที่จะทำให้แม่บ้านค้นพบจิตสำนึกและความแข็งแกร่งในตนเองที่สามารถขับเคลื่อนสตรีไปสู่การเป็นแนวหน้าในการปฏิวัติได้ หรือผลงานของ Susan Sontag เรื่อง โลกที่สามแห่งสตรี (The Third World of Women) ในปี ค.ศ. 1973 ที่เสนอว่าพื้นที่ส่วนบุคคลเท่านั้นที่เป็นพื้นที่อันปราศจากความแปลกแยกจากโลกทุนนิยมอุตสาหกรรม
นอกจากนี้ Angela Davis ได้เสนอในผลงานที่ตีพิมพ์ในปี ค.ศ.1971 เรื่อง ภาพสะท้อนของบทบาทสตรีผิวสีในชุมชนทาส (Reflections on the Black Women’s Role in the community of Slaves) ว่า ผู้หญิงผิวสีที่ได้เข้าร่วมในโลกสาธารณะคือการใช้แรงงานแบบบุรุษและโลกส่วนบุคคลคือพื้นที่การทำงานบ้าน ทำให้พวกเธอตระหนักรับรู้ถึงจิตสำนึกจนนำไปสู่การเป็นแกนกลางในขบวนการปลดปล่อยทาส
อยากไรก็ตาม ในปี ค.ศ.1976 นักคิดอย่าง Eli Zaretsky ได้โต้แย้งใน ทุนนิยม ครอบครัวและชีวิตส่วนบุคคล (Capitalism, the Family and Personal Life) ว่า การเกิดและเติบโตขึ้นของทุนนิยมต่างหากที่สร้างการแบ่งแยกระหว่างพื้นที่ส่วนบุคคลกับพื้นที่สาธารณะออกจากกันอย่างเด็ดขาดอันเป็นลักษณะของสังคมสมัยใหม่ที่มนุษย์ถูกทำให้เป็นกรรมาชีพ (proletarianization) จากการที่ต้องแสวงหาอัตลักษณ์ใหม่ให้ตนเองด้วยการออกไปทำงานนอกบ้าน ซึ่งนำไปสู่การแบ่งงานกันทำจากพื้นฐานทางเพศ จนทำให้แม่บ้านถูกกีดกันจากพื้นที่ทางสังคมมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะงานและชีวิตของเธออยู่ในพื้นที่ที่ไม่แยกจากกัน
งานเขียนของ Zaretsky ได้รับการส่งเสริมจาก Ann Foreman ผู้หญิงถูกสร้างความเป็นเพศหญิง (gender construction of femininity) อันทำให้พวกเธอจ้องอยู่ภายใต้การดูแลจากผู้ชาย จนตกอยู่ภายใต้การเป็นผู้ถูกกระทำและความถดถอยทางปัญญา และประเด็นนี้ได้รับการสนับสนุนจาก Zillah Eisenstein ที่มองว่างานบ้านเป็นสิ่งแปลกแยกเพราะผู้หญิงถูกบังคับให้ทำงานบ้าน ไม่ได้เลือกทำจากความสมัครใจของเธอ
ขณะที่ Mariarosa Della Costa ที่ได้เขียนผลงานเรื่อง ผู้หญิงและการตกเป็นรองในชุมชน (Women and the Subversion in Community) ในปี ค.ศ.1972 ที่เสนอว่าผู้หญิงจะไม่มีอิสระทางการเมืองและสังคมเพราะว่าพวกเธอไม่มีอิสระทางเศรษฐกิจ คือการที่ต้องพึ่งพารายได้ของผู้ชาย ซึ่งการไม่เป็นอิสระนี้ทำให้เกิดภาวะแปลกแยก
ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่าการตกอยู่ภายใต้พื้นที่ส่วนบุคคลจะเป็นโอกาสให้ผู้หญิงได้มีเวลาพัฒนาตนเองจนทำให้มีการสร้างจิตสำนึก (consciousness- raising) ขึ้นมาได้ โดยที่ Nancy Hartsock เสนอว่าแม้ผู้หญิงจะได้มีโอกาสออกไปทำงานนอกบ้านที่ได้รับค่าจ้าง แต่งานที่เธอต้องทำควบคู่ไปด้วยก็คือ งานบ้านและการเลี้ยงดูบุตรอยู่ดี การทำงานของผู้หญิงจะสร้างจิตสำนึกที่มีเหตุผล อิงกับบริบทที่เธอเผชิญอยู่ โดยบูรณาการและอิงอยู่กับชีวิตมากกว่างานแบบผู้ชายที่เป็นนามธรรม ซึ่งยึดติดอยู่กับการแลกเปลี่ยนสินค้าในโลกทุนนิยมและการทำงานที่ไม่แปลกแยกของผู้หญิงนี้เองจะนำไปสู่การเกิดจุดยืนสตรีนิยมที่จะทำให้ผู้หญิงเข้าใจอุดมการณ์และสถาบันชายเป็นใหญ่จนสามารถหาวิธีที่จะสร้างทางไปสู่การปลดปล่อยผู้หญิงได้
*****************************************************************************************
No comments:
Post a Comment