Sunday, July 10, 2011

[Clipnote] สตรีนิยมแบบวัฒนธรรม ในศตวรรษที่ 19 (Nineteenth Century Cultural Feminism)

สตรีนิยมแบบวัฒนธรรม ในศตวรรษที่ 19 (Nineteenth Century Cultural Feminism)
แนวคิดสตรีนิยมแบบวัฒนธรรมในสมัยศตวรรษที่ 19 นี้นับได้ว่าเป็นการออกมาโต้กับแนวความคิดสตรีนิยมในยุคแห่งการรู้แจ้ง (Enlightenment Feminism) ในแง่ที่ว่า แนวความคิดสตรีนิยมแบบวัฒนธรรมนี้ได้มองไปไกลกว่าความมีเหตุผล หรือการมุ่งแก้ไขสถานะของสตรีด้วยการแก้ไขที่ตัวบทกฎหมาย แต่กลับมองที่การถ่ายเปลี่ยนทางวัฒนธรรม จากวัฒนธรรมและการปกครองแบบชายเป็นใหญ่ หรือที่เรียกว่า ปิตาธิปไตย (Patriarchy) มาเป็นวัฒนธรรมและการปกครองที่ให้เพศหญิงเป็นศูนย์กลาง หรือที่เรียกว่า มาตาธิปไตย (Matriarchy) เพราะการแก้ไขความไม่เท่าเทียมกันที่ตัวกฎหมายเป็นเพียงการแก้ไขความไม่เท่าเทียมในระดับผิวเผินเท่านั้น หากแต่การแก้ไขวัฒนธรรมอันเป็นตัวกำหนดความคิดของสังคมนั้นจะเป็นการสร้างความเท่าเทียมที่ยั่งยืนกว่า
การเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมจากชายเป็นใหญ่ ซึ่งเป็นวัฒนธรรมที่เน้นการใช้ความรุนแรง การฆ่าฟัน การนองเลือด และจบลงด้วยความตาย มาสู่วัฒนธรรมแบบหญิงเป็นใหญ่ซึ่งอาจนับได้ว่าเป็นคู่ตรงกันข้าม คือ เป็นวัฒนธรรมที่เกี่ยวพันกับการให้กำเนิด การเลี้ยงดู และความอ่อนหวาน ย่อมทำให้สังคมเป็นสังคมที่น่าอยู่และสงบสุขเป็นแน่แท้
แต่แนวคิดสตรีนิยมแบบวัฒนธรรมก็มีส่วนคล้ายคลึงกับแนวความคิดสตรีนิยมในยุคแห่งการรู้แจ้งอยู่บางประการ เช่น การสนับสนุนให้สตรีสามารถพึ่งพาและปกครองตนเองได้ มิใช่แค่การมีชีวิตผ่านชีวิตของผู้ชายที่เป็นเจ้าของเธอ และได้เพิ่มเติมความสำคัญของการเติบโตทางอินทรีย์ (Organic Growth) ที่จะทำให้สามรถเติบโตทางปัญญาได้ไว้ด้วย การเติบโตนี้อาจทำได้โดยการแยกตัวผู้หญิงออกจากสังคมชายเป็นใหญ่เพื่อให้พวกเธอได้สร้างสังคมของพวกเธอขึ้นมาเอง
นักคิดที่สำคัญในแนวคิดสตรีนิยมแบบวัฒนธรรมคือ มากาเร็ต ฟูลเลอร์ (Margaret Fuller) เจ้าของผลงาน สตรีในศตวรรษที่ 19 (Women in the Nineteenth Century) ซึ่งเป็นการตอบสนองต่อการเคลื่อนไหวแนวโรแมนติกในยุโรป (European Romantic Movement) ที่เน้นถึงการมองความแตกต่างระหว่างเพศหญิงและชาย ไม่ใช่แค่การมองเพียงแค่ความเท่าเทียมในฐานะมนุษย์ที่มีเหตุผลแบบแนวความคิดสตรีนิยมในยุคแห่งการรู้แจ้ง
และนักคิดอีกคนหนึ่งคือ ชาร์ล็อต เพอร์กิน กิลแมน (Charlotte Perkins Gilman) ที่ได้เขียน นวนิยายเรื่อง ดินแดนของเธอ (Herland) อันเป็นการแสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิต วัฒนธรรม และการปกครองที่ดีงามในกฎของสตรี
นอกจากนี้แนวคิดสตรีนิยมแบบวัฒนธรรมยังมองว่าศาสนา โดยเฉพาะศาสนาคริสต์นิกายคาธอลิก และสังคมเป็นสิ่งที่กดขี่สตรีเป็นอย่างมาก เพราะเป็นการปลูกฝังความคิดที่ว่า ผู้หญิงย่อมเป็นผู้ที่ต่ำกว่า ด้อยกว่า มาที่หลัง และต้องถูกควบคุมโดยชาย ตั้งแต่พระคัมภีร์ไบเบิ้ลที่กล่าวว่า ผู้หญิงคนแรกของโลกนั้นเกิดมาจากซี่โครงของชายคนแรก ทั้งๆที่พระผู้เป็นเจ้าได้แสดงตนเป็นทั้งเพศชายและเพศหญิงในไบเบิ้ล หรือแม้กระทั่งในคัมภีร์คาบาลา ของศาสนายิว การมองภาพลักษณ์ของสตรีต่ำหว่าบุรุษในพื้นที่ทางศาสนาเช่นนี้นำไปสู่การวางสถานะของสตรีให้เป็นเพียงทรัพย์สินของบุรุษในสังคม
ในศตวรรษนี้มีทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ที่โด่งดัง คือ ทฤษฎีวิวัฒนาการทางสังคม (Social Darwinism) ของ ชาร์ล ดาร์วิน (Charles Darwin) อันเป็นทฤษฎีที่กล่าวถึงวิวัฒนาการที่ธรรมชาติจะคัดสรรผู้ที่เหมาะสมที่สุดให้อยู่รอดในสังคมต่อไป นับว่าเป็นทฤษฎีที่สร้างความชอบธรรมให้กับการปกครองของบุรุษในแง่ของการทำสงคราม ล่าอาณานิคม และในแง่ของการใช้กลไกตลาดทุนนิยมในระบบเศรษฐกิจ
แนวคิดสตรีนิยมแบบวัฒนธรรมจึงมีข้อโต้แย้งว่า สิ่งเหล่านี้ โดยเฉพาะการที่ผู้หญิงมีสถานะเป็นรองนั้นไม่ใช่สิ่งที่เกิดโดยธรรมชาติ หากแต่เป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาจากสภาพทางเศรษฐกิจและสังคมทั้งนั้น การเปลี่ยนแปลงสังคมที่จะต้องเกิดขึ้นนั้นคือการเปลี่ยนแปลงโดยพร้อมเพรียงกันทั้งในแง่ตัวบทกฎหมายที่เป็นเงื่อนไข และและการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมซึ่งเป็นแนวความคิดของคนในสังคม
ข้อเสนอหลักของแนวคิดสตรีนิยมแบบวัฒนธรรมนี้คือ การที่สตรีต้องสามารถพึ่งพาตนเองได้ ต้องมีความเป็นอิสระทางเศรษฐกิจ และที่สำคัญคือ ผู้หญิงต้องมีเสรีภาพในร่างกายของตนเอง คือ ต้องสามารถเลือกที่จะรักคนที่เธอต้องการ และเลือกที่จะคุมกำเนิดเมื่อเธอต้องการ สิทธิเหล่านี้นับว่าเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้หญิงตามแนวคิดสตรีนิยมแบบวัฒนธรรม นอกจากนี้แล้วยังมีการเรียกร้องถึงสิทธิคนรักเพศเดียวกัน (Homosexual Rights) อีกด้วย เพราะแนวคิดนี้เชื่อว่าการที่มนุษย์เพศเดียวกันจะมีความรักกันย่อมไม่ต่างกันกับมีความรักกับมนุษย์ต่างเพศ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องผิดธรรมชาติ

No comments:

Post a Comment