Wednesday, July 13, 2011

[Book] Dynamic Capabilities & Strategic Management (INTRODUCITON)

I have been reading this book, Dynamic capabilities & Strategic Management: Organizing for Innovation and Growth, for weeks but I just had time to really sit down and read it last night.

The book is written by David J. Teece, a Chaired Professor at the University of California Berkely, where he was the Director of the Institute of management, Innovation, and Organization for 25 years--and this book is pretty much his insights on management issues.

In the introduction, he explains that "strategic management" is about major decisions (that are complex--because interdependencies ;and uncertainty in customer reaction, competitor response, and market and technological change--and important) and invesment needed to reach the enterprises' goals (taking actions and marketing investment to reflect opportunities and changing circumstances) and it also is what explains the ability of the business enterprises to generate wealth for their stakeholders and shareholders.

Unfortunately, almost all management models ignore "intagible assets," innovation, firm capabilities and disequilibrium phenomena which actually and frequently happen in the real world, especially in the "advanced Post-industrial societies."

The idea of Post-industrial societies, Teece explians, is about to put creation, ownership and deployment of intangible assets (esp. Knowledge and relationships) at the core of any strategies that the enterprises would implement to yeild shareholder value. And the tangible assets are not just found in individuals, but also in processes and procedures and/pr (strategic) operation rules that could be essential in supporting new products and services but are still ignored in market approaches.

This book looks in fields in an endeavor to identify characteristics of the business enterprises and of management actions, designs and processes which undergrid superior enterprise performance.

It, moreover, provides analysis of markets, competition, innovation and the organization of the business enterprise itself by explianing how firms stay alive and how they develop uniqueness and competitive advantage in given environments.

The book encourages enterprises to find their "sustainable advantage" which will be created by building and protecting their existing (and potential) intangible assets (which are their competitive advantage).

All in all, the focus of Dynamic Capabilities is on innovation (both technological and organizational) and market disequilibrium since it outlines a new theory of management which can be the connerstone to a deeper understanding of the business enterprise, competitive processes, competitive outcomes and wealth creation in "advanced post-industrial knowledge-based societies."

Teece, Davod J. 2009. Dynamic Capabilities&Strategic Management: Organizing for Innovation and Growth. Oxford University Press. New York

Sunday, July 10, 2011

บทสวดมนต์

อันนี้สำหรับเพื่อนคนไทยเท่านั้นนะครับ พอดีวันนี้ดูดวงให้เพื่อนสองคนแล้วแนะนำให้เค้าสวดมนต์ คุยกันว่าบทสวดมนต์อะไรบ้างที่เราควรสวดทุกวัน บอกเพื่อนไปแล้วเค้าพิมพ์ส่งมาให้ทางอีเมลล์ เราแก้ไขนิดหน่อย แล้วก็คิดได้ว่าควรมาเผยแพร่ให้ทุกคนที่นี่ โดยเฉพาะคนที่กำลังมีความทุกข์กายใจ เครียด หรือต้องอยู่ไกลบ้าน สวดมนต์แล้วจิตใจจะได้สงบนะครับ ขอบคุณแอนมากนะ ที่พิมพ์ส่งมาให้ สวดครั้งแรกอาจจะท้อนะ พยายามสวดไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็ชิน

ปล. เพื่อนที่นับถึอศาสนาอื่น ถ้าศาสนาไม่ห้ามก็สวดได้นะ หรือไม่ก็ไปหาของศาสนาตัวเองมาสวดก็ได้

บทสวดมนต์มีดังต่อไปนี้นะครับ

บทสวดมนต์ประจำวัน

1. บูชาพระรัตนตรัย

อิมินา สักกาเรนะ พุทธัง อภิปูชะยามิ อิมินา สักกาเรนะ ธัมมัง อภิปูชะยามิ อิมินา สักกาเรนะ สังฆัง อภิปูชะยามิ



2. บทกราบพระรัตนตรัย

อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา พุทธังภะคะวันตัง อภิวาเทมิ (กราบ)

สะวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม ธัมมัง นะมัสสามิ (กราบ)

สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สังฆัง นะมามิ (กราบ)

นโม 3 จบ



3. ขอขมาพระรัตนตรัย

วันทามิ พุทธัง สัพพะ เมโทสัง ขะมะถะเม ภันเต

วันทามิ ธัมมัง สัพพะ เมโทสัง ขะมะถะเม ภันเต

วันทามิ สังฆัง สัพพะ เมโทสัง ขะมะถะเม ภันเต



4. คำกล่าวบูชาไตรสรณคมน์

พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ

ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ

สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ

ทุติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ

ทุติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ

ทุติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ

ตะติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ

ตะติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ

ตะติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ



5.พระพุทธคุณ

อิติปิโส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชา จะระณะ สัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู

อนุตตะโร ปุริสะธัมมะสาระถิ สัตถา เทวมนุสสานัง พุทโธภะคะวาติ

พระธรรมคุณ

สวากขาโต ภะคะวะตาธัมโม สันทิฏฐิโก อะกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปะนะยิโก ปัจจัตตังเวทิตัพโพ วิญญูหิติ

พระสังฆคุณ

สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อุชุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ

ญายะปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สามีจิปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ

ยะทิทังจัตตาริ ปุริสะยุคานิ อัฏฐะปุริสะปุคคะลา เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ

อาหุเนยโย ปาหุเนยโย ทักขิเนยโย อัญชะลีกะระณีโย อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติ



6.บทชัยมงคลคาถา (พาหุงมหากา)

พาหุงสะหัส สะมะภินิมมิตะสาวุธันตัง

ครีเมขะลัง อุทิตะโฆ ระสะเสนะมารัง

ทานาทิธัมมะวิธินา ชิตะวา มุนินโท

ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ

มาราติเร กะมะภิยุชฌิตะสัพพะรัตติง

โฆรัมปะนาฬะวะกะมักขะมะถัทธะยักขัง

ขันตีสุทันตะวิธินา ชิตะวา มุนินโท

ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ

นาฬาคิริง คะชะวะรัง อะติมัตตะภูตัง

ทาวัคคิจักกะมะสะนีวะ สุทารุณันตัง

เมตตัมพุเสกะวิธินา ชิตะวา มุนินโท

ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ

อุกขิตตะขัคคะมะติหัตถะสุทารุณันตัง

ธาวันติโยชะนะปะถังคุลิมาละวันตัง

อิทธีภิสังขะตะมะโน ชิตะวา มุนินโท

ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ

กัตตะวานะ กัฏฐะมุทะรัง อิวะ คัพภินียา

จิญจายะ ทุฏฐะวะจะนัง ชะยะกายะมัชเฌ

สันเตนะ โสมะวิธินา ชิตะวา มุนินโท

ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ

สัจจัง วิหายะ มะติสัจจะกาวาทะเกตุง

วาทาภิโรปิตะมะนัง อะติอันธะภูตัง

ปัญญาปะทีปะชะลิโต ชิตะวา มุนินโท

ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ

นันโทปะนันทะภุชะคัง วิพุธัง มะหิทธิง

ปุตเตนะ เถระภุชะเคนะ ทะมาปะยันโต

อิทธูปะเทสะวิธินา ชิตะวา มุนินโท

ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ

ทุคคาหะทิฏฐิภุชะเคนะ สุทัฏฐะหัตถัง

พรัหมัง วิสุทธิชุติมิทธิพะกาภิธานัง

ญาณาคะเทนะ วิธินา ชิตะวา มุนินโท

ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ

เอตาปิ พุทธะชะยะมังคะละอัฉฐะคาถา โย

วาจะโน ทินะทิเน สะระเต มะตันที

หิตวานะเนกะวิวิธานิ จุปัททะวานิ

โมกขัง สุขัง อะธิคะเมยยะ นะโร สะปัญโญ



7.ชัยปริตร (มหาการุณิโก)

มะหาการุณิโก นาโถ........... หิตายะ สัพพะปาณินัง

ปูเรต๎วา ปาระมี สัพพา..........ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง

เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ...........โหตุ เต ชะยะมังคะลัง ฯ

ชะยันโต โพธิยา มูเล..............สัก๎ยานัง นันทิวัฑฒะโน

เอวัง ต๎วัง วิชะโย โหหิ............ชะยัสสุ ชะยะมังคะเล

อะปะราชิตะปัลลังเก...............สีเส ปะฐะวิโปกขะเร

อะภิเสเก สัพพะพุทธานัง.........อัคคัปปัตโต ปะโมทะติ ฯ

สุนักขัตตัง สุมังคะลัง..............สุปะภาตัง สุหุฏฐิตัง

สุขะโณ สุมุหุตโต จะ...............สุยิฏฐัง พ๎รัห๎มะจาริสุ

ปะทักขิณัง กายะกัมมัง...........วาจากัมมัง ปะทักขิณัง

ปะทักขิณัง มะโนกัมมัง...........ปะณิธี เต ปะทักขิณา

ปะทักขิณานิ กัต๎วานะ..............ละภันตัตเถ ปะทักขิเณ ฯ

ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง.............รักขันตุ สัพพะเทวะตา

สัพพะพุทธานุภาเวนะ..............สัพพะธัมมานุภาเวนะ

สัพพะสังฆานุภาเวนะ...............สะทา โสตถี ภะวันตุ เต ฯ

ท่อง: พระพุทธเจ้าทรงชนะมารด้วยฉันได้ฉันใด ขอให้ข้าพเจ้า ชนะเรื่อง………ด้วยฉันนั้น



8. ท่องพระพุทธคุณเท่าอายุ บวกหนึ่ง

พระพุทธคุณ

อิติปิโส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชา จะระณะ สัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู

อนุตตะโร ปุริสะธัมมะสาระถิ สัตถา เทวมนุสสานัง พุทโธภะคะวาติ



9. คาถาชินบัญชร

เริ่มสวด นโม 3 จบ

■นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ

นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ

นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
■นึกถึงหลวงปู่โตแล้วตั้งอธิษฐาน

ปุตตะกาโมละเภปุตตัง ธะนะกาโมละเภธะนัง

อัตถิกาเยกายะญายะ เทวานังปิยะตังสุตตะวา

อิติปิโสภะคะวา ยะมะราชาโน ท้าวเวสสุวัณโณ

มรณังสุขัง อะระหังสุคะโต นะโมพุทธายะ
■เริ่มบทพระคาถาชินบัญชร
1.ชะยา สะนา กะตา พุทธา เชตะวา มารัง สะวา หะนัง

จะตุ สัจจา สะภัง ระสัง เย ปิวิงสุ นะรา สะภา

2.ตัณหังกะราทะโย พุทธา อัฏฐะวีสะติ นา ยะกา

สัพเพ ปะติฏฐิตา มัยหัง มัตถะเก เต มุนิส สะรา

3.สีเส ปะติฏฐิโต มัยหัง พุทโธ ธัมโม ทะวิโล จะเน

สังโฆ ปะติฏฐิโต มัยหัง อุเร สัพพะคุณา กะโร

4.หะทะเย เม อะนุรุทโธ สารีปุตโต จะ ทักขิเณ โกณฑัญโญ ปิฏฐิภา คัสสะมิง โมคคัลลาโน จะวา มะเก

5.ทักขิเณ สะวะเน มัยหัง อาสุง อานันทะราหุโล กัสสะโป จะมะหา นาโม อุภาสุง วามะโส ตะเก

6.เกสะโต ปิฏฐิภา คัสสะมิง สุริโย วะ ปะภัง กะโร นิสินโน สิริสัม ปันโน โสภีโต มุนิปุง คะโว

7.กุมาระกัสสโป เถโร มะเหสี จิตตะ วาทะโก โส มัยหัง วะทะเน นิจจัง ปะติฏฐาสิคุณากะโร

8.ปุณโณ อังคุลิมาโร จะ อุปาลี นันทะ สีวะลี เถรา ปัญจะ อิเม ชาตา นะลาเต ติละกา มะมะ

9.เสสาสีติ มะหาเถรา วิชิตา ชินะสาวะกาเอเตสีติ มะหาเถรา ชิตะวันโต ชิโนระสา ชะลันตา สีละเตเชนะ อังคะมังเคสุ สัณฐิตา

10.ระตะนัง ปุระโต อาสิ ทักขิเณ เมตตะ สุตตะกัง ธะชัคคัง ปัจฉะโต อาสิ วาเม อังคุลิมาละกัง

11.ขันธะโมระปะริตตัญจะ อาฏานาฏิยะ สุตตะกัง อากาเส ฉะทะนัง อาสิ เสสา ปาการะสัณฐิตา

12.ชินา นานาวะระสังยุตตา สัตตัปปาการะ ลังกะตา วาตะปิตตาทะสัญชาตา พาหิรัช ฌัตตุปัททะวา

13.อะเสสา วินะยัง ยันตุ อะนันตะชินะ เตชะสา วะสะโต เม สะกิจเจนะ สะทา สัมพุทธะปัญชะเร

14.ชินะปัญชะระมัชฌัมหิ วิหะรันตัง มะฮี ตะเล สะทา ปาเลนตุ มัง สัพเพ เต มะหาปุริสาสะภา

15.อิจเจวะมันโต สุคุตโต สุรักโข ชินานุภาเวนะ ชิตุปัททะโว ธัมมานุภาเวนะ ชิตาริสังโฆ สังฆานุภาเวนะ ชิตันตะราโย สัทธัมมานุภาวะปาลิโต จะรามิ ชินะ ปัญชะเรติ.

ชินะปัญชะระคาถา นิฎฐิตา



10. บทแผ่เมตตาแก่ตนเอง

อะหัง สุขิโต โหมิ ขอให้ข้าพเจ้ามีความสุข

นิททุกโข โหมิ ปราศจากความทุกข์

อะเวโร โหมิ ปราศจากเวร

อัพยาปัชโฌ โหมิ ปราศจากอุปสรรคอันตรายทั้งปวง

อะนีโฆ โหมิ ปราศจากความทุกข์กายทุกข์ใจ

สุขี อัตตานัง ปะริหะรามิ มีความสุขกายสุขใจ รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเถิด



11. บทแผ่เมตตาให้สรรพสัตว์

สัพเพ สัตตา สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่เจ็บตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น

อะเวรา โหนตุ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย

อัพะยาปัชฌา โหนตุ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย

อะนีฆา โหนตุ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีความทุกข์กาย ทุกข์ใจเลย

สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ จงมีความสุขกาย สุขใจ รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้น เถิด ฯ



12. บทแผ่ส่วนกุศล

อิทัง เม มาตาปิตูนัง โหตุ สุขิตา โหนตุ มาตาปิตะโร

อิทัง เม ญาตีนัง โหตุ สุขิตา โหนตุ ญาตะโย

อิทัง สัพพะเทวะตานัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพเทวา

อิทัง สัพพะเปตานัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพ เปตา

อิทัง สัพพะเวรีนัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพเวรี

อิทัง สัพพะสัตตานัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพ สัตตา



13. คำอธิษฐานอโหสิกรรม

ข้าพเจ้าขออโหสิกรรม กรรมใดที่ทำแก่ผู้ใด ในชาติใดๆก็ตาม ขอให้เจ้ากรรมนายเวรจง อโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้า อย่าได้จองเวรจองกรรมต่อไปเลย แม้แต่กรรมที่ใครๆทำแก่ข้าพเจ้าก็ตาม ข้าพเจ้าขออโหสิกรรมให้ทั้งสิ้น ยกถวายพระพุทธเจ้าเป็นอภัยทานเพื่อจะได้ไม่มีเวรกรรมต่อไปด้วยอานิสงส์แห่งอภัยทานนี้ ขอให้ข้าพเจ้า ครอบครัว บุตรหลาน ตลอดจนวงศาคณาญาติ และผู้อุปการคุณของข้าพเจ้ามีความสุข ความเจริญ ปฏิบัติแต่สิ่งที่ดีและสิ่งที่ชอบด้วยเทอญฯ

[Clipnote] สตรีนิยม และ ทฤษฎีมาร์กซิสต์ (Feminism and Marxism)

สตรีนิยม และ ทฤษฎีมาร์กซิสต์ (Feminism and Marxism)

แนวความคิดสตรีนิยมได้มีพลวัตรมาสู่การโยงเอาทฤษฎีสตรีนิยมเข้ากับทฤษฎีมาร์กซิสต์ หนึ่งในทฤษฎีเชิงปฏิวัติ (Revolutionary Theory) ซึ่งมีจุดมุ่งหมายในการพัฒนาตัวทฤษฎีเพื่อการวิเคราะห์เงื่อนไขสมัยใหม่ ดังนั้น แนวความคิดสตรีนิยมมาร์กซิสต์ (Marxist Feminism) หรือสตรีนิยมสังคมนิยม (Socialist Feminism) คือการนำเอาทฤษฎีมาร์กซิสต์มาดัดแปลงเพื่อสร้างความเข้าใจในทฤษฎีสตรีนิยมสังคมนิยมร่วมสมัย และหากต้องการทำความเข้าใจทฤษฎีสตรีนิยมสังคมแล้ว จึงจำเป็นจะต้องเข้าใจทฤษฎีมาร์กซิสต์ดั้งเดิมด้วย

ทฤษฎีมาร์กซิสต์สามารถทำความเข้าใจผ่าน 3 มุมมอง คือ
1. ทฤษฎีกำหนดนิยมทางวัตถุ (Material Determinism)
ทฤษฎีนี้มองว่าวิถีการผลิตในชีวิตเงื่อนไขวัตถุนิยมนั้นกระบวนการทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองหรือสิ่งแวดล้อมที่เป็นอยู่ในสังคมจะเป็นตัวกำหนดจิตสำนึกของปัจเจก มิใช่ปัจเจกเป็นผู้กำหนดจิตสำนึก และจิตสำนึกนั้นจะตอบสนองต่อผลประโยชน์ของชนชั้นนายทุน
2. ทฤษฎีเกี่ยวกับแรงงานและระบบทุนนิยม
ในส่วนนี้งานของ Karl Marx และ Frederic Engle เรื่อง Communist Manifesto ได้กล่าวถึงการเปลี่ยนสภาพมนุษย์ให้กลายเป็นสินค้า และการที่การกระทำของมนุษย์ได้ถูกแยกส่วนจากตัวของเขาเอง จนตัวเขาเกิดความรู้สึกแปลกแยก (Alienation) ต่องานที่เขาทำและสินค้าที่เขาผลิตขึ้น และการที่ค่าส่วนต่างของค่าแรงกับราคาจริงของสินค้า (กำไร) นั้นได้ตกเป็นของนายทุน ทั้งที่บางครั้งกำไรอาจจะมากกว่าค่าแรงของกรรมาชีพ
3. บางส่วนจากทฤษฎีสตรีนิยมที่สร้างขึ้นจากผลงานของ Marx และ Engel
เช่น การกำเนิดครอบครัว ทรัพย์สินส่วนบุคคล และรัฐ (the Origin of Family, Private Property, and the State) ที่มองว่าในสังคมบรรพกาลนั้นเป็นสังคมที่สตรีเป็นใหญ่ บ้านเมืองจะถูกปกครองโดยสตรี และบุรุษมีหน้าที่ออกไปล่าสัตว์
การที่สตรีเป็นใหญ่นั้นก็เพราะพวกเธอเป็นเจ้าของแรงงานจากการอยู่อาศัยเป็นครอบครัวคอมมูนเป็นครอบครัวหลายผัวหลายเมีย จึงทำให้การสืบทอดสายตระกูลนับผ่านทางมารดา จนเมื่อสังคมได้เข้าสู่ยุคเกษตรกรรม กลุ่มผู้ชายได้เลิกการล่าสัตว์และทราบว่าตนมีการผลิตมนุษย์รุ่นต่อไป เกิดการสะสมทุน ทำให้ผู้ชายที่เป็นเจ้าของทรัพย์ต้องการความแน่ใจในสายเลือดของตน ต่อมาครอบครัวแบบผัวเดียวเมียเดียวที่มีผู้ชายเป็นคนกำหนดจึงเกิดขึ้น ณ บัดนั้น

แนวความคิดสตรีนิยมสังคมนิยมมีนักคิดที่สำคัญ คือ Margaret Benston ได้เขียนเรื่อง เศรษฐศาสตร์การเมืองแห่งการปลดปล่อยตรี (The Political Economy of Women’s Liberation) ในปี ค.ศ.1969 โดยเสนอว่าการทำงานในครัวเรือนของสตรีนั้นไม่ได้นับรวมอยู่ในระบบเศรษฐกิจ หรืออาจเรียกได้ว่าไม่ได้นับเป็นงานเลยด้วยซ้ำ ผู้หญิงจึงอยู่ในสภาพที่ด้อยกว่าเพราะทำงานที่ไม่ได้รับค่าจ้างจึงแทบไม่มีโอกาสจะเท่าเทียมกับบุรุษที่ได้รับค่าแรงงาน

จากนั้น Lise Vogel ได้เขียนงานที่ค่อนข้างขัดแย้งกับ Margaret Benston ผลงานนั้นชื่อ ครอบครัวโลก (The Earthly Family) ในปี ค.ศ.1973 ซึ่งเสนอว่า การทำงานบ้านเป็นการสร้างสินค้าและบริการเพื่อการบริโภคของตนไม่ได้อยู่ในระบบทุนนิยม ดังนั้น งานของแม่บ้านจึงเป็นงานไม่มีความแปลกแยกเมื่อเทียบกับงานของบุรุษ และการทำงานที่ไม่สร้างความแปลกแยกนี้เองที่จะทำให้แม่บ้านค้นพบจิตสำนึกและความแข็งแกร่งในตนเองที่สามารถขับเคลื่อนสตรีไปสู่การเป็นแนวหน้าในการปฏิวัติได้ หรือผลงานของ Susan Sontag เรื่อง โลกที่สามแห่งสตรี (The Third World of Women) ในปี ค.ศ. 1973 ที่เสนอว่าพื้นที่ส่วนบุคคลเท่านั้นที่เป็นพื้นที่อันปราศจากความแปลกแยกจากโลกทุนนิยมอุตสาหกรรม

นอกจากนี้ Angela Davis ได้เสนอในผลงานที่ตีพิมพ์ในปี ค.ศ.1971 เรื่อง ภาพสะท้อนของบทบาทสตรีผิวสีในชุมชนทาส (Reflections on the Black Women’s Role in the community of Slaves) ว่า ผู้หญิงผิวสีที่ได้เข้าร่วมในโลกสาธารณะคือการใช้แรงงานแบบบุรุษและโลกส่วนบุคคลคือพื้นที่การทำงานบ้าน ทำให้พวกเธอตระหนักรับรู้ถึงจิตสำนึกจนนำไปสู่การเป็นแกนกลางในขบวนการปลดปล่อยทาส

อยากไรก็ตาม ในปี ค.ศ.1976 นักคิดอย่าง Eli Zaretsky ได้โต้แย้งใน ทุนนิยม ครอบครัวและชีวิตส่วนบุคคล (Capitalism, the Family and Personal Life) ว่า การเกิดและเติบโตขึ้นของทุนนิยมต่างหากที่สร้างการแบ่งแยกระหว่างพื้นที่ส่วนบุคคลกับพื้นที่สาธารณะออกจากกันอย่างเด็ดขาดอันเป็นลักษณะของสังคมสมัยใหม่ที่มนุษย์ถูกทำให้เป็นกรรมาชีพ (proletarianization) จากการที่ต้องแสวงหาอัตลักษณ์ใหม่ให้ตนเองด้วยการออกไปทำงานนอกบ้าน ซึ่งนำไปสู่การแบ่งงานกันทำจากพื้นฐานทางเพศ จนทำให้แม่บ้านถูกกีดกันจากพื้นที่ทางสังคมมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะงานและชีวิตของเธออยู่ในพื้นที่ที่ไม่แยกจากกัน
งานเขียนของ Zaretsky ได้รับการส่งเสริมจาก Ann Foreman ผู้หญิงถูกสร้างความเป็นเพศหญิง (gender construction of femininity) อันทำให้พวกเธอจ้องอยู่ภายใต้การดูแลจากผู้ชาย จนตกอยู่ภายใต้การเป็นผู้ถูกกระทำและความถดถอยทางปัญญา และประเด็นนี้ได้รับการสนับสนุนจาก Zillah Eisenstein ที่มองว่างานบ้านเป็นสิ่งแปลกแยกเพราะผู้หญิงถูกบังคับให้ทำงานบ้าน ไม่ได้เลือกทำจากความสมัครใจของเธอ
ขณะที่ Mariarosa Della Costa ที่ได้เขียนผลงานเรื่อง ผู้หญิงและการตกเป็นรองในชุมชน (Women and the Subversion in Community) ในปี ค.ศ.1972 ที่เสนอว่าผู้หญิงจะไม่มีอิสระทางการเมืองและสังคมเพราะว่าพวกเธอไม่มีอิสระทางเศรษฐกิจ คือการที่ต้องพึ่งพารายได้ของผู้ชาย ซึ่งการไม่เป็นอิสระนี้ทำให้เกิดภาวะแปลกแยก

ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่าการตกอยู่ภายใต้พื้นที่ส่วนบุคคลจะเป็นโอกาสให้ผู้หญิงได้มีเวลาพัฒนาตนเองจนทำให้มีการสร้างจิตสำนึก (consciousness- raising) ขึ้นมาได้ โดยที่ Nancy Hartsock เสนอว่าแม้ผู้หญิงจะได้มีโอกาสออกไปทำงานนอกบ้านที่ได้รับค่าจ้าง แต่งานที่เธอต้องทำควบคู่ไปด้วยก็คือ งานบ้านและการเลี้ยงดูบุตรอยู่ดี การทำงานของผู้หญิงจะสร้างจิตสำนึกที่มีเหตุผล อิงกับบริบทที่เธอเผชิญอยู่ โดยบูรณาการและอิงอยู่กับชีวิตมากกว่างานแบบผู้ชายที่เป็นนามธรรม ซึ่งยึดติดอยู่กับการแลกเปลี่ยนสินค้าในโลกทุนนิยมและการทำงานที่ไม่แปลกแยกของผู้หญิงนี้เองจะนำไปสู่การเกิดจุดยืนสตรีนิยมที่จะทำให้ผู้หญิงเข้าใจอุดมการณ์และสถาบันชายเป็นใหญ่จนสามารถหาวิธีที่จะสร้างทางไปสู่การปลดปล่อยผู้หญิงได้

*****************************************************************************************

[Clipnote] สตรีนิยมแบบวัฒนธรรม ในศตวรรษที่ 19 (Nineteenth Century Cultural Feminism)

สตรีนิยมแบบวัฒนธรรม ในศตวรรษที่ 19 (Nineteenth Century Cultural Feminism)
แนวคิดสตรีนิยมแบบวัฒนธรรมในสมัยศตวรรษที่ 19 นี้นับได้ว่าเป็นการออกมาโต้กับแนวความคิดสตรีนิยมในยุคแห่งการรู้แจ้ง (Enlightenment Feminism) ในแง่ที่ว่า แนวความคิดสตรีนิยมแบบวัฒนธรรมนี้ได้มองไปไกลกว่าความมีเหตุผล หรือการมุ่งแก้ไขสถานะของสตรีด้วยการแก้ไขที่ตัวบทกฎหมาย แต่กลับมองที่การถ่ายเปลี่ยนทางวัฒนธรรม จากวัฒนธรรมและการปกครองแบบชายเป็นใหญ่ หรือที่เรียกว่า ปิตาธิปไตย (Patriarchy) มาเป็นวัฒนธรรมและการปกครองที่ให้เพศหญิงเป็นศูนย์กลาง หรือที่เรียกว่า มาตาธิปไตย (Matriarchy) เพราะการแก้ไขความไม่เท่าเทียมกันที่ตัวกฎหมายเป็นเพียงการแก้ไขความไม่เท่าเทียมในระดับผิวเผินเท่านั้น หากแต่การแก้ไขวัฒนธรรมอันเป็นตัวกำหนดความคิดของสังคมนั้นจะเป็นการสร้างความเท่าเทียมที่ยั่งยืนกว่า
การเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมจากชายเป็นใหญ่ ซึ่งเป็นวัฒนธรรมที่เน้นการใช้ความรุนแรง การฆ่าฟัน การนองเลือด และจบลงด้วยความตาย มาสู่วัฒนธรรมแบบหญิงเป็นใหญ่ซึ่งอาจนับได้ว่าเป็นคู่ตรงกันข้าม คือ เป็นวัฒนธรรมที่เกี่ยวพันกับการให้กำเนิด การเลี้ยงดู และความอ่อนหวาน ย่อมทำให้สังคมเป็นสังคมที่น่าอยู่และสงบสุขเป็นแน่แท้
แต่แนวคิดสตรีนิยมแบบวัฒนธรรมก็มีส่วนคล้ายคลึงกับแนวความคิดสตรีนิยมในยุคแห่งการรู้แจ้งอยู่บางประการ เช่น การสนับสนุนให้สตรีสามารถพึ่งพาและปกครองตนเองได้ มิใช่แค่การมีชีวิตผ่านชีวิตของผู้ชายที่เป็นเจ้าของเธอ และได้เพิ่มเติมความสำคัญของการเติบโตทางอินทรีย์ (Organic Growth) ที่จะทำให้สามรถเติบโตทางปัญญาได้ไว้ด้วย การเติบโตนี้อาจทำได้โดยการแยกตัวผู้หญิงออกจากสังคมชายเป็นใหญ่เพื่อให้พวกเธอได้สร้างสังคมของพวกเธอขึ้นมาเอง
นักคิดที่สำคัญในแนวคิดสตรีนิยมแบบวัฒนธรรมคือ มากาเร็ต ฟูลเลอร์ (Margaret Fuller) เจ้าของผลงาน สตรีในศตวรรษที่ 19 (Women in the Nineteenth Century) ซึ่งเป็นการตอบสนองต่อการเคลื่อนไหวแนวโรแมนติกในยุโรป (European Romantic Movement) ที่เน้นถึงการมองความแตกต่างระหว่างเพศหญิงและชาย ไม่ใช่แค่การมองเพียงแค่ความเท่าเทียมในฐานะมนุษย์ที่มีเหตุผลแบบแนวความคิดสตรีนิยมในยุคแห่งการรู้แจ้ง
และนักคิดอีกคนหนึ่งคือ ชาร์ล็อต เพอร์กิน กิลแมน (Charlotte Perkins Gilman) ที่ได้เขียน นวนิยายเรื่อง ดินแดนของเธอ (Herland) อันเป็นการแสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิต วัฒนธรรม และการปกครองที่ดีงามในกฎของสตรี
นอกจากนี้แนวคิดสตรีนิยมแบบวัฒนธรรมยังมองว่าศาสนา โดยเฉพาะศาสนาคริสต์นิกายคาธอลิก และสังคมเป็นสิ่งที่กดขี่สตรีเป็นอย่างมาก เพราะเป็นการปลูกฝังความคิดที่ว่า ผู้หญิงย่อมเป็นผู้ที่ต่ำกว่า ด้อยกว่า มาที่หลัง และต้องถูกควบคุมโดยชาย ตั้งแต่พระคัมภีร์ไบเบิ้ลที่กล่าวว่า ผู้หญิงคนแรกของโลกนั้นเกิดมาจากซี่โครงของชายคนแรก ทั้งๆที่พระผู้เป็นเจ้าได้แสดงตนเป็นทั้งเพศชายและเพศหญิงในไบเบิ้ล หรือแม้กระทั่งในคัมภีร์คาบาลา ของศาสนายิว การมองภาพลักษณ์ของสตรีต่ำหว่าบุรุษในพื้นที่ทางศาสนาเช่นนี้นำไปสู่การวางสถานะของสตรีให้เป็นเพียงทรัพย์สินของบุรุษในสังคม
ในศตวรรษนี้มีทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ที่โด่งดัง คือ ทฤษฎีวิวัฒนาการทางสังคม (Social Darwinism) ของ ชาร์ล ดาร์วิน (Charles Darwin) อันเป็นทฤษฎีที่กล่าวถึงวิวัฒนาการที่ธรรมชาติจะคัดสรรผู้ที่เหมาะสมที่สุดให้อยู่รอดในสังคมต่อไป นับว่าเป็นทฤษฎีที่สร้างความชอบธรรมให้กับการปกครองของบุรุษในแง่ของการทำสงคราม ล่าอาณานิคม และในแง่ของการใช้กลไกตลาดทุนนิยมในระบบเศรษฐกิจ
แนวคิดสตรีนิยมแบบวัฒนธรรมจึงมีข้อโต้แย้งว่า สิ่งเหล่านี้ โดยเฉพาะการที่ผู้หญิงมีสถานะเป็นรองนั้นไม่ใช่สิ่งที่เกิดโดยธรรมชาติ หากแต่เป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาจากสภาพทางเศรษฐกิจและสังคมทั้งนั้น การเปลี่ยนแปลงสังคมที่จะต้องเกิดขึ้นนั้นคือการเปลี่ยนแปลงโดยพร้อมเพรียงกันทั้งในแง่ตัวบทกฎหมายที่เป็นเงื่อนไข และและการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมซึ่งเป็นแนวความคิดของคนในสังคม
ข้อเสนอหลักของแนวคิดสตรีนิยมแบบวัฒนธรรมนี้คือ การที่สตรีต้องสามารถพึ่งพาตนเองได้ ต้องมีความเป็นอิสระทางเศรษฐกิจ และที่สำคัญคือ ผู้หญิงต้องมีเสรีภาพในร่างกายของตนเอง คือ ต้องสามารถเลือกที่จะรักคนที่เธอต้องการ และเลือกที่จะคุมกำเนิดเมื่อเธอต้องการ สิทธิเหล่านี้นับว่าเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้หญิงตามแนวคิดสตรีนิยมแบบวัฒนธรรม นอกจากนี้แล้วยังมีการเรียกร้องถึงสิทธิคนรักเพศเดียวกัน (Homosexual Rights) อีกด้วย เพราะแนวคิดนี้เชื่อว่าการที่มนุษย์เพศเดียวกันจะมีความรักกันย่อมไม่ต่างกันกับมีความรักกับมนุษย์ต่างเพศ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องผิดธรรมชาติ

[Clipnote] สตรีนิยมในยุคเสรีนิยมแห่งการรู้แจ้ง

สตรีนิยมในยุคแห่งการรู้แจ้งและเสรีนิยม (Enlightenment Liberal Feminism)
ในศตวรรษที่ 16 – 19 ได้มีขบวนการการต่อสู้เพื่อสิทธิสตรีขึ้นในโลกตะวันตกอันเป็นผลจากการที่เกิดกระแสปฏิวัติขึ้นในระยะเวลาดังกล่าว เช่น การปฏิวัติอเมริกา (ค.ศ. 1776) การปฏิวัติฝรั่งเศส (ค.ศ.1789) เป็นต้น ในการต่อสู้ของขบวนการสตรีนิยมดังกล่าวมีผลงานชิ้นสำคัญของ แมรี วอลสโตนคราฟต์ (Mary Wollstonecraft) เรื่อง ความชอบธรรมในสิทธิของผู้หญิง (A Vindication of the Right of Woman) เป็นผลงานที่ให้อิทธิพลกับความคิดและแนวทางการเคลื่อนไหว
โดยหลักแล้วสตรีนิยมในยุคแห่งการรู้แจ้งและเสรีนิยมมีความคิดว่าผู้หญิงถูกจำกัดให้อยู่ในพื้นที่ของบ้าน (domestic/private sphere) ในบทบาทของแม่ เมีย ลูกสาว พี่สาว หรือน้องสาว เพราะถูกสันนิษฐานไว้แต่เบื้องต้นว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีเหตุผล อารมณ์แปรปรวน และต้องถูกควบคุมจากสิ่งมีชีวิตที่มีเหตุผล หนักแน่น ซึ่งก็คือ เพศชาย โดยที่ความเป็นพลเมือง (citizenship) ของผู้หญิงจะถูกโอนให้ผู้ชายเป็นตัวแทนของเธอในพื้นที่สาธารณะ (public sphere) และสถานะของพวกเธอก็จะเป็นเพียงทรัพย์สินของพวกเขาเท่านั้น จึงเท่ากับว่าผู้หญิงตกอยู่ในสภาพที่ตายทางการพลเมือง (instant civil death) ด้วยการแต่งงาน

แนวความคิดพื้นฐานของสตรีนิยมในยุคแห่งการรู้แจ้งและเสรีนิยม ได้แก่
1. ความศรัทธาในเหตุผลของปัจเจก ในแง่ที่เป็นความศักดิ์สิทธ์ิเช่นเดียวกันกับพระผู้เป็นเจ้า
2. ความเชื่อว่าเพศหญิงและชายเท่าเทียมกันในความสามารถทางเหตุผลและจิตวิญญาณ
3. ความเชื่อว่าการศึกษาเป็นปัจจัยสำคัญที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางสังคม
4. การมองปัจเจกเป็นสิ่งมีชีวิตที่เป็นอิสระไม่ขึ้นกับสิ่งอื่น
5. การนิยามให้สิทธิตามธรรมชาติ (natural rights) คือ สิทธิในการออกเสียงเลือกตั้ง (right to vote)

ข้อเสนอหลักของสตรีนิยมในยุคแห่งการรู้แจ้งและเสรีนิยม คือ การให้การศึกษาทีี่เหมาะสมแก่ผู้หญิงซึ่งจะนำไปสู่การปลดปล่อยผู้หญิง การให้ค่าแรงที่เหมาะสมแก่ผู้หญิงซึ่งจะนำไปสู่ความเคารพในตนเอง และความเชื่อมั่นในตนเอง และ สิทธิพลเมืองของผู้หญิงที่เท่าเทียมกับผู้ชายที่รวมทั้งสิทธิในการลงคะแนนเลือกตั้ง และสิทธิในการพูดในพื้นที่สาธารณะ

เป็นที่น่าสังเกตว่าในระยะหนึ่งขบวนการสตรีนิยมในยุคแห่งการรู้แจ้งและเสรีนิยมนั้นได้เข้าไปร่วมมือกับกลุ่มคนผิวดำที่ตกเป็นทาสและยังไม่ได้รับสิทธิพลเมืองเท่าเทียมกับคนผิวขาว แต่สุดท้ายแล้วการปลดป่อยทาสผิวดำและการรับรองสิทธิพลเมืองของคนผิวดำกลับเกิดขึ้นก่อนการปลดปล่อยผู้หญิงผิวขาวเสียอีก

ข้อเสียของสตรีนิยมในยุคแห่งการรู้แจ้งและเสรีนิยม คือ การที่ขบวนการการต่อสู้ของสตรีในยุคนี้ไม่มองถึงความเป็นเพศไม่ว่าจะเพศหญิงหรือชาย หากแต่ขบวนการนี้มองแค่เพียงความเท่าเทียมในสิทธิกันในฐานะความเป็นมนุษย์ที่มีความสามารถในการเหตุผลอย่างเสมอภาคกัน

ในกรณีของประเทศไทย เราอาจสังเกตตัวอย่างของการต่อสู้หรือแนวนโยบายสาธารณะแบบสตรีนิยมในยุคแห่งการรู้แจ้งและเสรีนิยมได้ เช่น การเรียกร้องสิทธิสตรีที่เท่าเทียมกับบุรุษ สิทธิที่ผู้หญิงจะใช้นามสกุลเดิมหลังแต่งงาน เป็นต้น

Sunday, July 3, 2011

Thailand's General Election 2011: What Now???

The general election passed and Phue Thai party, the party associated with Thaksin won. This is the second general election after the 2006's coup (in case you don't remember, the party won the first election after the coup as well).

Looking at Twitter and Facebook, I can see that now there are different groups of people tweeting and/or posting about Thai politics: some are angry with the election results that Phue Thai won and afraid that the country will stuck in "Thaksin Regime" forever; some are happy with the results and that the country will be a "true democartic country" being able to escape old style bureaucratic system; while some (yes, we have to talk about many groups of people here--in this blog) is unsure what to feel but more afraid of what tomorrow and days after will bring to Thailand.

I guess, I am in the last group. I support neither DEM, nor PTP. People who know me well would say I don't support anyone. Yes, it is true. But this blog is not about me. Let's talk about what I observed from the election and its series of events.

1. Yingluck entered politics for 6 weeks and now she is the first female Prime Minister of Thailand (68th world's female country leader).

2. Confusion about whether the party want to put its impression as with Thaksin or without Thaksin since it first campaigned Thaksin-related Ad (such as "Thaksin Thinks, Yingluck gets done") then it tried to avoid bringing Thaksin up in their campaign's Ads.

3. But then, Thaksin pretty much did all the talk after the exit poll revealed that PTP won while his sister (who is the PM now) held a press conference hours later

4. The former PM Abisith V. has just resigned from DEM's party leader position. And the public (and maybe even among the DEM's members) wonder who will take charge of the party. Will it be one of the new gen, like Korn or Apirak or old warriors, like Chuan, Therdpong, or even Suthep. I'm putting my bet on Chuan though.. hehehe

5. (Back to PTP) Last time PTP won, it didn't turn out well. It had 2 PM: Samak and Somchai. I know khun Samak passed but I don't know where khun Somchai is now.

6. Rumors about the Coup is stirring up again though big names in the Royal Army insisted that there won't be one.

7. Palanchol Party, a relatively new party from Chonburi, now has 7 seats in the parliament. Seems to me that not only Thaksin knows how to clean up names without having directly be in politics...

8. PAD's Vote No campaign was extremely unsuccessful. (No hard feeling, okay? This is just my opinion. You can disagree)

So far 8 points and counting. I am not sure how long khun Yingluck will last in this war. All I know is that it is too easy just to wish for democracy. We will have to face so many Thaksin, Abisith and other politicians who share same mentality. Is this the time Thais should start caring more about themselves: not Thaksin, not Abisith, not someone else? Huh?