Saturday, September 17, 2011

เ(ค)รื่องสองเพศ ตอนที่ 1

พอดีวันก่อนคุยกับเพื่อนเรื่องสิ่งมีชีวิตสองเพศแล้วก็เล่าเรื่องที่ให้นักศึกษาจัดสัมมนาให้เค้าฟัง แล้วเพื่อนพูดหลายประเด็นเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตสองเพศ แล้วบอกอีกว่าเค้าเคยได้ยินมาว่า "ถ้าคนที่มีอวัยวะเพศสมบูรณ์ทั้งสองเพศและมีมดลูกมีสเปิร์มครบถ้วน แล้วเอาเชื้อของตัวเองมาใส่ในไข่ของตัวเองจะทำให้เด็กที่เกิดมามีสภาพเหมือนเป็นตัวโคลนนิ่งของตัวเอง" ฟังแล้วก็คิดว่าน่าสนใจและควรไปหาข้อมูลต่อ และแหล่งข้อมูลที่ฮิตเข้าถึงง่าย (และอาจชุ่ย) ที่สุดก็คือเว็บไซต์ wikipedia ก็เลยลองใส่คำว่า Hermaphrodite ลงไปในเว็บไซต์ Google แล้วก็ตามคาด Link ของ wikipedia อันนี้ขึ้นมาอันแรก http://en.wikipedia.org/wiki/Hermaphrodite

ลองถอดความแล้วได้ดังต่อไปนี้

ทางชีววิทยาแล้ว Hermaphrodite เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีทั้งเพศชายและหญิง (หรือเพศผู้และเมีย) ในตัวเดียวกัน สามารถพบได้มากในกลุ่มสัตว์ที่ไม่มีสันหลังโดยเฉพาะ แมลงและหอยทาก และพืชต่างๆ เพราะถือว่าการมีสองเพศเป็นลักษณะที่ปกติเพราะเป็นเงื่อนไขที่ทำให้สัตว์เหล่านี้สามารถแพร่พันธุ์ได้โดยที่สัตว์สองตัวที่มาผสมพันธุ์กันจะทำหน้าที่ทั้งเมียและผัวได้ ไม่จำกัดว่าครั้งนี้ที่ผสมพันธุ์แล้วเป็นเพศใดจะต้องเป็นไปตลอด บางครั้งเราอาจพบปลาลางกลุ่มที่มีสองเพศได้เช่นกันเพียงแต่จะไม่มากเท่าในหอยทากและแมลง

สำหรับมนุษย์เองเราใช้คำว่า Hermaphrodite กับคนที่มีเครื่องเพศทั้งสองเพศหรืออาจมีสองเพศตอนเกิดแต่เมื่อถึงวัยเจริญพันธุ์แล้วกลับมีเพศดเพศหนึ่งฝ่อไปและอีกเพศหนึ่งพัฒนาเด่นชัดมากกว่า คำว่า Hermaphrodite จริงๆ แล้วเป็นภาษาอังกฤษในศตวรรษที่ 15 มาจากภาษากรีก Hermaphrodious ซึ่งมาจากชื่อของเทพบุตรลูกชายของ Hermes เทพแห่งการสื่อสารและหัวขโมย กับ Alphrodite เทพแห่งความงาม สองคำนี่มาผสมกันเป็นชื่อลูกว่า Hermaphroditus นั่นเอง แต่ในสมัยนี้คนไม่นิยมใช้คำนี้กันสักเท่าไหร่ จะหันไปใช้คำว่า intersex มากกว่า

แต่ขอให้สังเกตตรงนี้ว่าสามีที่แท้จริงของ Alphrodite คือ Hephaestus ซึ่งเป็นเทพแห่งช่างตีเหล็กหน้าตาไม่ดีร่างกายพิการ และภรรยาของเขาก็คบชู้หลายคนทั้งที่เป็นเทพและอื่นๆ ส่วน Hermaphroditus นั้นเรียกได้ว่าหน้าตาดีจนมีนางไม้มาหลงรัก แต่เขาไม่รับรักของหล่อน ด้วยความหน้ามืดตามัวในความหลงร่างกายของเทพบุตรหล่อนจึงเข้าสิงเขาเพื่อให้ได้อยู่ด้วยกันตราบนิจนิรันดร์ จนร่างกายของเทพบุตรกลายเป็นสองเพศขึ้นมา

วันนี้เอาแค่นี้ก่อน เดี๋ยวมาต่อส่วนที่เป็นเรื่องพืชและสัตว์สองเพศวันหลังนะครับ

Tuesday, September 13, 2011

กำเนิดทองม้วน The Rise of Tongmuan



เมื่อปลายเดือนสิงหาคมที่ฝนตกเรื่อยๆ แม่ไปเจอลูกแมวนอนซมอยู่ใต้ท้องรถ ท่าทางดูป่วยมาก แต่แม่เป็นคนกลัวสัตว์ทุกชนิด (ย้ำ ทุกชนิดจริงๆ) แม่เลยไม่กล้าดึงลูกแมวออกมาจากใต้ท้องรถแต่เดินมาเล่าให้ป้านงค์ ป้าแม่ครัวฟังแทน แล้วป้านงค์ก็เอาไปเล่าให้พ่อฟังต่อ พ่อซึ่งรักสัตว์ทุกชนิด (ย้ำ ทุกชนิดจริงๆ) และคงยังเสียใจที่จิ้งจกยักษ์ตัวดำเมี่ยมที่เลี้ยงไว้เพิ่งตายไปหมาดๆ (ทุกชนิดจริงๆ บอกแล้วไง) คิดว่าน่าจะแก่ตาย เพราะพ่อเลี้ยงมันมาเป็นปีแล้ว พ่ออยากเห็นแมวจึงเดินไปดูและล้วงลูกแมวออกมาจากใต้ท้องรถ

พ่อเห็นว่ามันดูซึมๆ งงๆ และสับสนมาก ตัวร้อนและสกปรก พ่อเลยขอแม่ว่าจะเลี้ยงไว้ แม่ไม่ได้อนุญาตแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะคิดว่าแมวยังป่วย อย่างน้อยก็น่าจะลองให้น้ำให้ข้าวให้เค้านอนพักเผื่อว่าเค้าจะหายป่วยแล้วก็หายากบ้านเราไปเอง แม่บอกให้พ่อกับป้านงค์หาลังเล็กมาให้ลูกแมวนอน เอาผ้ามารองนิดหน่อยให้พออุ่น แม่เล่าให้ฟังว่าลูกแมวมันหลับปุ๋ยไปเลยพอพ่อวางมันลงไปในลัง เหมือนกับว่ามันเหนื่อยมากและรู้สึกปลอดภัยเมื่อได้เข้ามาอยู่ในบ้าน

ตอนดึกเรากลับเข้าไปที่บ้านก็ตกใจเพราะเห็นตัวอะไรเล็กๆ อยู่ในลัง ตอนแรกนึกว่าเป็นหนูท่อ เพราะมันสีมืดๆ เทาๆ แต่พอดีแม่นั่งอยู่ แม่เลยเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง แต่พ่อนี่ปักใจไปแล้วว่าเลี้ยงแน่ เราเองก็สงสารเห็นว่ามันเป็นเด็กน้อย ไม่สบาย และแม่ก็มาทิ้งไว้อย่างนี้ ก็แอบคิดว่าจะเลี้ยงเหมือนกันแต่ยังไม่กล้าบอกแม่ รอเนียนๆ ไปเองดีกว่า ฮิๆ

เรื่องที่ต้องเถียงกันคือเรื่องชื่อเพราะว่าพอลูบๆ แมวอยู่ ป้านงค์อาบน้ำเสร็จนุ่งกระโจมอกเดินมาพอดี และเธอเรียกเจ้าแมวว่า "อีนางกวัก".... เดี๋ยวนะ.... มีใครเค้าชื่อนางกวักกันยุคนี้ อย่าว่าแต่ยุคนี้เลย ยุคไหนก็ตาม ไม่ควรมีใครชื่อนางกวักทั้งสิ้น!!!! ถามว่าทำไมเรียกแมวว่านางกวัก ป้านงค์บอกว่า "ก็หางมันม้วนกวักเข้าไปนี่นา" เราเห็นด้วย แต่ชื่อนางกวักนี่มันไม่ไหวจริงๆ เคยได้ยินว่าพวกหมาแมวนีถ้าหลงมาแล้วเราเลี้ยงดีๆ มันจะให้โชคกับเรา ไหนๆ ว่าจะเลี้ยงแล้วก็ตั้งชื่อให้มันดูดีๆ หน่อยแล้วกัน หางมันม้วนๆ เข้าไป "ชื่อทองม้วนแล้วกัน" ถึงไม่ใช่ทองแท้ แต่ก็แสดงถึงลักษณะพิเศษเฉพาะตัวของเค้า แล้วก็น่ารักกว่านางกวักตั้งเยอะ... เนอะ!!! ทองม้วนเลยได้ชื่อทองม้วนมาตั้งแต่ตอนนั้น

วันรุ่งขึ้นเราก็เห่อเจ้าของเล่นชิ้นใหม่ คือเจ้าทองม้วนนี่แหละ ก็ถ่ายรูป อัพโหลดลงเฟซบุคไปเยอะ จนพี่ออยมาบอกว่าทองม้วนมันดูท้องป่องๆ น่าจะมีพยาธิ เราเองก็คิดแล้วว่ายังไงก็ต้องพาทองม้วนไปตรวจ ไปฉีดยาเพราะว่าที่บ้านมีหลานสาว ถ้าทองม้วนมันติดเชื้อแล้วเอามาติดหลานก็จะไม่ดี เลยพาทองม้วนไปตั้งแต่วันที่่สองที่อยู่ที่บ้านเลย

คุณหมอที่โรงพยาบาลสัตว์ ใจดีมากแล้วเห็นเค้าเขียนข้างหน้าว่าเป็น Cat Clinic น่าจะเชี่ยวชาญเรื่องแมว พาม้วน (ชื่อย่อของทองม้วน) ไปตรวจ คุณหมอบอกว่าพยาธิเต็มท้องเลย ต้องให้ยาถ่ายพยาธิกับยาฆ่าเชื้อที่ต้องกินวันละ สองครั้งครั้งละ 5 ซีซี แล้วคุณหมอก็ให้ที่ป้อนยากับสอนวิธีป้อนมา ชีวิตนี้ไม่เคยทำอะไรเลย อยู่เมืองไทยคนที่บ้านทำให้หมด ประมาณว่าเข้าห้องน้ำแล้วกดเองนี่ก็ทำเยอะแล้วนะ พอตอนอยู่เมืองนอกคิดว่าล้างจานลำบากแล้ว มาเจอป้อนยาแมวนี่เครียดกว่ามาก บางทีก็กลัวมันจะกัด บางทีก็กลัวว่าจะบีบหัวมันเละ โอยยย...

แต่การให้ยาก็ผ่านไปได้ด้วยดี จนพ่อขอทำบ้างนี่แหละ...

พ่อเป็นคนมีความคิดสร้างสรรค์ หมอสั่งให้ให้ 5 ซีซี คือประมาณครึ่งหลอด พ่อให้นี่ประมาณหลอดครึ่ง หมอไม่ให้กินนม พ่อให้กินนมแล้วแอบแถมข้าวกับปลาด้วย หมอไม่ให้ออกไปเล่นนอกบ้าน พ่อพาไปเล่นในกล่องเครื่องมือซ่อมรถ หมอให้อึเป็นที่เป็นทาง พ่อตามใจไม่ดุ สรุปว่าป้านงค์ต้องรับบทโหดตุ้บตั้บสั่งสอนทองม้วนเป็นประจำ วันนี้เอาแค่นี้ก่อนนะ ดึกแล้ว :)

Sunday, September 11, 2011

[Seminar] Gender and Politics สัมมนาเพศกับการเมือง



วันนี้ที่ห้องเรียนเพศกับการเมืองมีสัมมนาเรื่อง "เพศ ศิลปะ ความรัก กับการร่วมเพศร่วมสมัย" จัดโดยนักศึกษาชั้นปีที่ 4 จำนวน 13 คน สัมมนานี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชาเพศกับการเมือง หลักสูตรรัฐศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนดุสิต โดยที่นักศึกษาเป็นผู้ดำเนินรายการและจัดรูปแบบเนื้อหาในสัมมนากันเอง อาจารย์ทำหน้าที่ฟังและแสดงความคิดเห็นเป็นบางช่วง...



มีหลายประเด็นที่น่าสนใจที่นักศึกษาพูดคุยถกเถียงกัน ส่วนที่่น่าสนใจและพอจะนำมาเล่าให้ทุกคนฟังได้มีดังต่อไปนี้


1. ประเด็นเรื่องการกำหนดเพศ


เป็นการพูดคุยว่าเราระบุตัวเราเป็นเพศตั้งแต่เมื่อไหร่ นักศึกษาบางท่านบอกว่าคนที่เป็นเพศอื่นๆ น่าจะเกิดจากการผิดปกติของร่างกาย ที่โครโมโซมพิการ แต่เพื่อนหลายคนไม่เห็นด้วย เพราะคิดว่าคนที่โครโมโซมพิการ คือมีอวัยวะเพศทั้งของชายและหญิงน่าจะเป็นกระเทยแท้ๆ แต่สำหรับคนที่เป็นเพศอื่นๆ นั้นไม่น่าจะเป็นเรื่องความผิดปกติไม่ว่าจะทางร่างกายหรือจิตใจ แต่น่าจะเรียกว่า "รสนิยมทางเพศ" มากกว่า เท่ากับว่านักศึกษาไม่เห็นด้วยกับเรื่องที่ว่าการที่มนุษย์จะชอบเพศใดเป็นเหตุทางธรรมชาติหรือสัญชาตญาณ (Nature)

ส่วนเรื่องที่ว่าจะเป็นจากการเลี้ยงดู (Nurture) นั้นนักศึกษาได้ถกเถียงและสรุปว่าการเลี้ยงดูอาจจะทำให้เด็กติดบุคลิกภาพแบบใดแบบหนึ่งโดยเฉพาะ เช่น ลูกทหารอาจมีลักษณะแข็งๆ หรือผู้ชายที่เป็นลูกชายคนเดียวและถูกเลี้ยงด้วยผู้หญิงหลายๆ คน หรือโตมากับพี่น้องผู้หญิงหลายคนก็อาจมี่ลักษณะอ่อนโยน หรือมีท่าทางคล้ายผู้หญิงแต่ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นเกย์ สรุปว่าเรื่องที่เราจะกำหนดว่าตนเองเป็นเพศอะไรนั้น ไม่เกี่ยวกับ Nature หรือ Nurture เป็นเรื่องของการระบุตัวตนของแต่ละปัจเจกเอง


2. ประเด็นอำนาจภาษากับเพศ





นักศึกษาเข้าใจว่า ภาษาเป็นสิ่งที่มีอำนาจ เป็นอาวุธของเพศหรือชนชั้นที่เป็นใหญ่ในสังคมแต่ละสังคม แต่ลักษณะสำคัญที่นักศึกษาสังเกตเห็นก็คือการที่ภาษาไทยใช้คำว่า "แม่" กับเรื่องที่เป็นเรื่องใหญ่ๆ เช่น แม่น้ำ แม่ทัพ แม่โพสพ แม่ธรณี หรือ มาตุภูมิ เป็นต้น ทุกแม่ในที่นี้เป็นทั้งผู้ให้กำเนิดหรือเป็นผู้ที่กุมอำนาจสูงสุดในพื้นที่หนึ่งๆ แต่ผู้หญิงที่เป็นเพศแม่กลับเป็นผู้ไร้อำนาจในสังคมไทย หรือแม้กระทั่งภาษาอังกฤษในสมัยก่อนก็ใช้คำเพศหญิงแทนประเทศ เช่นเรียกแทนประเทศว่า She หรือบ่งบอกว่าสิ่งใดเป็นของประเทศใดด้วยคำว่า Her แต่แล้วทุกประเทศก็เป็นส่วนหนึ่งของระบบการปกครองแบบชายเป็นใหญ่ (Patriarchy) เหมือนกับประเทศไทย





หรือการใช้คำที่แสดงการกระทำ เช่น "เสียบ แทง เอา ได้" กับการที่ผู้ชายจะไปมีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิง คล้ายกับลักษณะการร่วมเพศที่อวัยวะเพศชายจะเป็นสิ่งที่เข้าไปในอวัยวะเพศหญิง แต่เวลาผู้หญิงมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายนั้น การใช้คำจะบ่งบอกถึงการถูกกระทำด้วยการนำคำว่า ถูก ไปใส่ข้างหน้า เช่น "ถูกเสียบ ถูกแทง ถูกเอา หรือ เสีย"





แต่อาจารย์เสนอว่า ผู้หญิงสมัยนี้ปลดแอกตนเองจากการถูกกดขี่ทางภาษามากขึ้นเพราะว่าพวกเธอก็ใช้คำคล้ายๆ กับที่ผู้ชายใช้ เช่น "จะเอาผู้ชายคนนี้ให้ได้" และแสดงออกทางเพศมากขึ้น เช่น Samantha ในละคอนยอดนิยมของตะวันตกเรื่อง Sex and the City ที่เป็นตัวแทนการเปิดเสรีทางเพศในยุคนี้






3. ประเด็นเพศในวรรณกรรมและศิลปะ





นักศึกษาชี้ว่ามีการสอดแทรกเรื่องเพศในงานศิลปะต่างๆ เช่นรูปปั้น Hermaphroditus ลูกชายของเทพ Venus ที่เป็นชายรูปงานจนนางไม้หลงรักและมาสิงร่างจนกลายเป็นคนที่มีอวัยวะเพศทั้งของชายและหญิง ทีตั้งอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ ประเทศฝรั่งเศส หรือเทวรูปสองเพศของลาวที่เรียกกันว่า "บักหำหี"





หรืองานภาพวาดฝาผนังตามวัดของไทยที่แสดงให้เห็นการร่วมเพศทั้งระหว่าง ชายกับหญิง ชายกับชาย หรือการเล่นเพื่อนของหญิงกับหญิง จึงเป็นที่น่าสังเกตว่าเหตุใดภาพการร่วมเพศเหล่านี้จึงไปปรากฎบนกำแพงวัด





อีกประเด็นหนึ่งก็คือ การนำเรื่องเพศไปทำให้เป็นเรื่องอื่นๆ ที่สุนทรีย์ไม่ลามก เช่น งานวรรณกรรมยุครัตนโกสินตร์ อย่างกาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวานที่นำผู้หญิงไปเปรียบเทียบกับอาหารเผ็ดร้อน ที่ชายใดได้ลิ้มลองแล้วก็ทำให้ติดใจใรสชาติจนอยากรับประทานอีก หรือกลอนอื่นๆ ที่นำสัญญะอย่างอื่นมาแทนเรื่องการร่วมเพศ เพื่อสร้างความอ่อนช้อยงดงามทางภาษาไม่ใช่เป็นการบอกตรงๆ ว่า "ชั้นจะเอาเธอ"

4. การร่วมเพศร่วมสมัยและการควบคุมทางเพศ


คุยกันว่าเด็กทีเกิดจากการร่วมเพศของหญิงกับหญิงว่าเป็น "เด็กที่เกิดมาจากสองโยนี" หรือ "เด็กไม่มีกระดูก" เพราะอินเดียเชื่อว่าผู้เป็นพ่อคือผู้ที่ให้กระดูกกับทารกและผู้เป็นแม่คือผู้ที่ให้เลือดและเนื้อกับทารก เด็กที่เกิดจากการร่วมเพศของหญิงกับหญิงจะเป็นเด็กประหลาด คือไม่มีกระดูก แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีชีวิตรอดได้


ส่วนญี่ปุ่นในศตวรรษที่ 17 มีการร่วมเพศระหว่างชายที่โตแล้วกับเด็กผู้ชายในลักษณะคล้ายกับกรีกโบราณที่ชายโตแล้วเป็นผู้กระทำเด็กชาย และเมื่อเด็กชายโตขึ้นก็จะเป็นผู้กระทำต่อเด็กชายรุ่นต่อๆ ไป จะต่างก็ตรงที่ว่าความสัมพันธ์ลักษณะนี้ในกรีกจะเป็นไปเพื่อให้ชายที่โตแล้วเป็นผู้สอนความเป็นชายให้เด็ก คือเป็น "พิธีส่งต่อความเป็นชาย" แต่ในญี่ปุ่นนั้นเป็นการมีเพศสัมพันธ์กันเฉยๆ (เรียกง่ายๆ ว่า "เอากันเฉยๆ") การมีความสัมพันธ์กับเด็กชายเป็นที่นิยมมากไม่ใช่แค่ในหมู่พระศาสนาพุทธของไทยที่มีข้อห้ามทางวินัยเรื่องการถูกเนื้อต้องตัวผู้หญิง (เลยไปถูกเนื้อต้องตัวผู้ชายแทน ?) เพราะว่าเรื่องแบบนี้ก็เกิดขึ้นในหมู่พระศาสนาพุทธของประเทศญี่ปุ่นเช่นเดียวกัน




และในวงสัมมนาได้ถกเถียงกันว่าเรื่องของการร่วมเพศระหว่างพระที่ถือศีลกับฆารวาส ที่เรามองว่าพระผิดเพราะพระถือศีลมากและเป็นตัวแทนของสถาบันศาสนา โดยเฉพาะศาสนาพุทธที่เป็นศาสนาหลักของสังคมไทยนั้น ผิดมากน้อยหรือเท่ากับการที่นักบวชของศาสนาอื่นกระทำผิดวินัยเรื่องชู้สาวในกรณีเดียวกัน (ผิดน้อยกว่าเพราะศาสนาอื่นไม่ใช่ศาสนาหลัก?) เปรียบเทียบกับเรื่องการประพฤติผิดทางวินัยระหว่างอาจารย์กับลูกศิษย์ว่าระหว่างพระกับอาจารย์ใครผิดมากกว่า วงสัมมนาคุยกันว่าอาจารย์ก็ถือว่าเป็นตัวแทนหลักของสถาบันการศึกษาและมีเครื่องแบบ (Uniform) และมีข้อปฏิบัติทางวินัยเช่นเดียวกับนักบวช (หรือผิดน้อยกว่าเพราะประเทศไทยไม่ได้เน้นเรื่องการศึกษา--คำขวัญเรามีแค่ "ชาติ ศาสน์ กษัตริย์")





แต่ที่เห็นพ้องต้องกันก็คือ คนที่อยู่ในเครื่องแบบอย่างไรก็ผิดมากกว่า คือพระผิดมากกว่าฆารวาส และอาจารย์ผิดมากกว่าศิษย์ เพราะความสัมพันธ์นั้นเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่เท่าเทียมโดยมีนัยยะของความสัมพันธ์เชิงอำนาจ (Relations of Power) ซ่อนอยู่ในความสัมพันธ์นั้น




5. การร่วมเพศ


พูดเรื่องท่าทางการร่วมเพศและการสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง ด้วยการยกตัวอย่างกามาสูตร 64 ท่าของอินเดียที่เรียกว่า "ศิลปะทั้ง 64" ส่วนของไทยนักศึกษายืนยันว่ามีความรู้ที่มาในรูปแบบวีดีทัศน์ที่เรียกว่า "108 ท่า ลีลามังกร" ซึ่งหาดูได้ตามร้านขายหนังโป๊ทั่วไปหรืออาจดาวน์โหลดได้ตามอินเตอร์เน็ต อีกทั้งยังให้ความเห็นว่าในปัจจุบันการเผยแพร่ความรู้เรื่องเพศสัมพันธ์มีอย่างกว้างขวางมากขึ้นโดยเฉพาะความรู้ที่มีเรื่องแพทย์เข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น คอลัมน์ในนิตยสารรายเดือนต่าง เช่น Men's Health หรือ Cosmopolitan ที่นำเอาเรื่องเพศมาประยุกต์เข้ากับการออกกำลังกาย (ประมาณว่าการออกกำลังกายท่านี้จะทำให้เราร่วมเพศในท่านี้ได้ทะมัดทะแมงขึ้นเป็นต้น) หรือเป็นการสอนการวางตัวเวลาออกเดทกับเพศตรงข้าม ฯลฯ


6. เรื่องเพศในสังคมไทย


นักศึกษาเห็นพ้องต้องกันว่าสังคมไทยเปิดกว้างเรื่องเพศมากขึ้น ให้โอกาสเพศอื่นๆ ในสังคมมากขึ้น เช่นมีเวทีประกวดสำหรับเพศต่างๆ นักแสดงนักร้องออกมาเปิดเผยมากขึ้น และมีพื้นที่ในสื่อ (Media) ให้กับเพศอื่นๆ มากขึ้น แต่ยังมีความไม่เข้าใจเกี่ยวกับเพศอื่นๆ อยู่หลายประเด็นเช่น การมองว่าเพศที่สามโดยเฉพาะชายรักชายเป็นเพศที่ทำให้โรคติดต่อทางเพศ โดยเฉพาะเอดส์ระบาด ทั้งๆ ที่สถิติได้แสดงให้เห็นแล้วว่าทุกๆ เพสมีส่วนช่วยเหลือให้โรคติดต่อทางเฑสแพร่ระบาดอย่างกว้างขวาง

"ความไม่เข้าใจและความกลัวนี้เองที่เป็นอุปสรรคทางปัญญากั้นขวางไม่ให้เกิดความเท่าเทียมทางเพศในสังคมไทย"