
วันนี้ที่ห้องเรียนเพศกับการเมืองมีสัมมนาเรื่อง "เพศ ศิลปะ ความรัก กับการร่วมเพศร่วมสมัย" จัดโดยนักศึกษาชั้นปีที่ 4 จำนวน 13 คน สัมมนานี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชาเพศกับการเมือง หลักสูตรรัฐศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนดุสิต โดยที่นักศึกษาเป็นผู้ดำเนินรายการและจัดรูปแบบเนื้อหาในสัมมนากันเอง อาจารย์ทำหน้าที่ฟังและแสดงความคิดเห็นเป็นบางช่วง...
มีหลายประเด็นที่น่าสนใจที่นักศึกษาพูดคุยถกเถียงกัน ส่วนที่่น่าสนใจและพอจะนำมาเล่าให้ทุกคนฟังได้มีดังต่อไปนี้
1. ประเด็นเรื่องการกำหนดเพศ
เป็นการพูดคุยว่าเราระบุตัวเราเป็นเพศตั้งแต่เมื่อไหร่ นักศึกษาบางท่านบอกว่าคนที่เป็นเพศอื่นๆ น่าจะเกิดจากการผิดปกติของร่างกาย ที่โครโมโซมพิการ แต่เพื่อนหลายคนไม่เห็นด้วย เพราะคิดว่าคนที่โครโมโซมพิการ คือมีอวัยวะเพศทั้งของชายและหญิงน่าจะเป็นกระเทยแท้ๆ แต่สำหรับคนที่เป็นเพศอื่นๆ นั้นไม่น่าจะเป็นเรื่องความผิดปกติไม่ว่าจะทางร่างกายหรือจิตใจ แต่น่าจะเรียกว่า "รสนิยมทางเพศ" มากกว่า เท่ากับว่านักศึกษาไม่เห็นด้วยกับเรื่องที่ว่าการที่มนุษย์จะชอบเพศใดเป็นเหตุทางธรรมชาติหรือสัญชาตญาณ (Nature)
ส่วนเรื่องที่ว่าจะเป็นจากการเลี้ยงดู (Nurture) นั้นนักศึกษาได้ถกเถียงและสรุปว่าการเลี้ยงดูอาจจะทำให้เด็กติดบุคลิกภาพแบบใดแบบหนึ่งโดยเฉพาะ เช่น ลูกทหารอาจมีลักษณะแข็งๆ หรือผู้ชายที่เป็นลูกชายคนเดียวและถูกเลี้ยงด้วยผู้หญิงหลายๆ คน หรือโตมากับพี่น้องผู้หญิงหลายคนก็อาจมี่ลักษณะอ่อนโยน หรือมีท่าทางคล้ายผู้หญิงแต่ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นเกย์ สรุปว่าเรื่องที่เราจะกำหนดว่าตนเองเป็นเพศอะไรนั้น ไม่เกี่ยวกับ Nature หรือ Nurture เป็นเรื่องของการระบุตัวตนของแต่ละปัจเจกเอง
2. ประเด็นอำนาจภาษากับเพศ
นักศึกษาเข้าใจว่า ภาษาเป็นสิ่งที่มีอำนาจ เป็นอาวุธของเพศหรือชนชั้นที่เป็นใหญ่ในสังคมแต่ละสังคม แต่ลักษณะสำคัญที่นักศึกษาสังเกตเห็นก็คือการที่ภาษาไทยใช้คำว่า "แม่" กับเรื่องที่เป็นเรื่องใหญ่ๆ เช่น แม่น้ำ แม่ทัพ แม่โพสพ แม่ธรณี หรือ มาตุภูมิ เป็นต้น ทุกแม่ในที่นี้เป็นทั้งผู้ให้กำเนิดหรือเป็นผู้ที่กุมอำนาจสูงสุดในพื้นที่หนึ่งๆ แต่ผู้หญิงที่เป็นเพศแม่กลับเป็นผู้ไร้อำนาจในสังคมไทย หรือแม้กระทั่งภาษาอังกฤษในสมัยก่อนก็ใช้คำเพศหญิงแทนประเทศ เช่นเรียกแทนประเทศว่า She หรือบ่งบอกว่าสิ่งใดเป็นของประเทศใดด้วยคำว่า Her แต่แล้วทุกประเทศก็เป็นส่วนหนึ่งของระบบการปกครองแบบชายเป็นใหญ่ (Patriarchy) เหมือนกับประเทศไทย
หรือการใช้คำที่แสดงการกระทำ เช่น "เสียบ แทง เอา ได้" กับการที่ผู้ชายจะไปมีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิง คล้ายกับลักษณะการร่วมเพศที่อวัยวะเพศชายจะเป็นสิ่งที่เข้าไปในอวัยวะเพศหญิง แต่เวลาผู้หญิงมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายนั้น การใช้คำจะบ่งบอกถึงการถูกกระทำด้วยการนำคำว่า ถูก ไปใส่ข้างหน้า เช่น "ถูกเสียบ ถูกแทง ถูกเอา หรือ เสีย"
แต่อาจารย์เสนอว่า ผู้หญิงสมัยนี้ปลดแอกตนเองจากการถูกกดขี่ทางภาษามากขึ้นเพราะว่าพวกเธอก็ใช้คำคล้ายๆ กับที่ผู้ชายใช้ เช่น "จะเอาผู้ชายคนนี้ให้ได้" และแสดงออกทางเพศมากขึ้น เช่น Samantha ในละคอนยอดนิยมของตะวันตกเรื่อง Sex and the City ที่เป็นตัวแทนการเปิดเสรีทางเพศในยุคนี้
3. ประเด็นเพศในวรรณกรรมและศิลปะ
นักศึกษาชี้ว่ามีการสอดแทรกเรื่องเพศในงานศิลปะต่างๆ เช่นรูปปั้น Hermaphroditus ลูกชายของเทพ Venus ที่เป็นชายรูปงานจนนางไม้หลงรักและมาสิงร่างจนกลายเป็นคนที่มีอวัยวะเพศทั้งของชายและหญิง ทีตั้งอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ ประเทศฝรั่งเศส หรือเทวรูปสองเพศของลาวที่เรียกกันว่า "บักหำหี"
หรืองานภาพวาดฝาผนังตามวัดของไทยที่แสดงให้เห็นการร่วมเพศทั้งระหว่าง ชายกับหญิง ชายกับชาย หรือการเล่นเพื่อนของหญิงกับหญิง จึงเป็นที่น่าสังเกตว่าเหตุใดภาพการร่วมเพศเหล่านี้จึงไปปรากฎบนกำแพงวัด
อีกประเด็นหนึ่งก็คือ การนำเรื่องเพศไปทำให้เป็นเรื่องอื่นๆ ที่สุนทรีย์ไม่ลามก เช่น งานวรรณกรรมยุครัตนโกสินตร์ อย่างกาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวานที่นำผู้หญิงไปเปรียบเทียบกับอาหารเผ็ดร้อน ที่ชายใดได้ลิ้มลองแล้วก็ทำให้ติดใจใรสชาติจนอยากรับประทานอีก หรือกลอนอื่นๆ ที่นำสัญญะอย่างอื่นมาแทนเรื่องการร่วมเพศ เพื่อสร้างความอ่อนช้อยงดงามทางภาษาไม่ใช่เป็นการบอกตรงๆ ว่า "ชั้นจะเอาเธอ"
4. การร่วมเพศร่วมสมัยและการควบคุมทางเพศ
คุยกันว่าเด็กทีเกิดจากการร่วมเพศของหญิงกับหญิงว่าเป็น "เด็กที่เกิดมาจากสองโยนี" หรือ "เด็กไม่มีกระดูก" เพราะอินเดียเชื่อว่าผู้เป็นพ่อคือผู้ที่ให้กระดูกกับทารกและผู้เป็นแม่คือผู้ที่ให้เลือดและเนื้อกับทารก เด็กที่เกิดจากการร่วมเพศของหญิงกับหญิงจะเป็นเด็กประหลาด คือไม่มีกระดูก แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีชีวิตรอดได้
ส่วนญี่ปุ่นในศตวรรษที่ 17 มีการร่วมเพศระหว่างชายที่โตแล้วกับเด็กผู้ชายในลักษณะคล้ายกับกรีกโบราณที่ชายโตแล้วเป็นผู้กระทำเด็กชาย และเมื่อเด็กชายโตขึ้นก็จะเป็นผู้กระทำต่อเด็กชายรุ่นต่อๆ ไป จะต่างก็ตรงที่ว่าความสัมพันธ์ลักษณะนี้ในกรีกจะเป็นไปเพื่อให้ชายที่โตแล้วเป็นผู้สอนความเป็นชายให้เด็ก คือเป็น "พิธีส่งต่อความเป็นชาย" แต่ในญี่ปุ่นนั้นเป็นการมีเพศสัมพันธ์กันเฉยๆ (เรียกง่ายๆ ว่า "เอากันเฉยๆ") การมีความสัมพันธ์กับเด็กชายเป็นที่นิยมมากไม่ใช่แค่ในหมู่พระศาสนาพุทธของไทยที่มีข้อห้ามทางวินัยเรื่องการถูกเนื้อต้องตัวผู้หญิง (เลยไปถูกเนื้อต้องตัวผู้ชายแทน ?) เพราะว่าเรื่องแบบนี้ก็เกิดขึ้นในหมู่พระศาสนาพุทธของประเทศญี่ปุ่นเช่นเดียวกัน
และในวงสัมมนาได้ถกเถียงกันว่าเรื่องของการร่วมเพศระหว่างพระที่ถือศีลกับฆารวาส ที่เรามองว่าพระผิดเพราะพระถือศีลมากและเป็นตัวแทนของสถาบันศาสนา โดยเฉพาะศาสนาพุทธที่เป็นศาสนาหลักของสังคมไทยนั้น ผิดมากน้อยหรือเท่ากับการที่นักบวชของศาสนาอื่นกระทำผิดวินัยเรื่องชู้สาวในกรณีเดียวกัน (ผิดน้อยกว่าเพราะศาสนาอื่นไม่ใช่ศาสนาหลัก?) เปรียบเทียบกับเรื่องการประพฤติผิดทางวินัยระหว่างอาจารย์กับลูกศิษย์ว่าระหว่างพระกับอาจารย์ใครผิดมากกว่า วงสัมมนาคุยกันว่าอาจารย์ก็ถือว่าเป็นตัวแทนหลักของสถาบันการศึกษาและมีเครื่องแบบ (Uniform) และมีข้อปฏิบัติทางวินัยเช่นเดียวกับนักบวช (หรือผิดน้อยกว่าเพราะประเทศไทยไม่ได้เน้นเรื่องการศึกษา--คำขวัญเรามีแค่ "ชาติ ศาสน์ กษัตริย์")
แต่ที่เห็นพ้องต้องกันก็คือ คนที่อยู่ในเครื่องแบบอย่างไรก็ผิดมากกว่า คือพระผิดมากกว่าฆารวาส และอาจารย์ผิดมากกว่าศิษย์ เพราะความสัมพันธ์นั้นเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่เท่าเทียมโดยมีนัยยะของความสัมพันธ์เชิงอำนาจ (Relations of Power) ซ่อนอยู่ในความสัมพันธ์นั้น
5. การร่วมเพศ
พูดเรื่องท่าทางการร่วมเพศและการสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง ด้วยการยกตัวอย่างกามาสูตร 64 ท่าของอินเดียที่เรียกว่า "ศิลปะทั้ง 64" ส่วนของไทยนักศึกษายืนยันว่ามีความรู้ที่มาในรูปแบบวีดีทัศน์ที่เรียกว่า "108 ท่า ลีลามังกร" ซึ่งหาดูได้ตามร้านขายหนังโป๊ทั่วไปหรืออาจดาวน์โหลดได้ตามอินเตอร์เน็ต อีกทั้งยังให้ความเห็นว่าในปัจจุบันการเผยแพร่ความรู้เรื่องเพศสัมพันธ์มีอย่างกว้างขวางมากขึ้นโดยเฉพาะความรู้ที่มีเรื่องแพทย์เข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น คอลัมน์ในนิตยสารรายเดือนต่าง เช่น Men's Health หรือ Cosmopolitan ที่นำเอาเรื่องเพศมาประยุกต์เข้ากับการออกกำลังกาย (ประมาณว่าการออกกำลังกายท่านี้จะทำให้เราร่วมเพศในท่านี้ได้ทะมัดทะแมงขึ้นเป็นต้น) หรือเป็นการสอนการวางตัวเวลาออกเดทกับเพศตรงข้าม ฯลฯ
6. เรื่องเพศในสังคมไทย
นักศึกษาเห็นพ้องต้องกันว่าสังคมไทยเปิดกว้างเรื่องเพศมากขึ้น ให้โอกาสเพศอื่นๆ ในสังคมมากขึ้น เช่นมีเวทีประกวดสำหรับเพศต่างๆ นักแสดงนักร้องออกมาเปิดเผยมากขึ้น และมีพื้นที่ในสื่อ (Media) ให้กับเพศอื่นๆ มากขึ้น แต่ยังมีความไม่เข้าใจเกี่ยวกับเพศอื่นๆ อยู่หลายประเด็นเช่น การมองว่าเพศที่สามโดยเฉพาะชายรักชายเป็นเพศที่ทำให้โรคติดต่อทางเพศ โดยเฉพาะเอดส์ระบาด ทั้งๆ ที่สถิติได้แสดงให้เห็นแล้วว่าทุกๆ เพสมีส่วนช่วยเหลือให้โรคติดต่อทางเฑสแพร่ระบาดอย่างกว้างขวาง
"ความไม่เข้าใจและความกลัวนี้เองที่เป็นอุปสรรคทางปัญญากั้นขวางไม่ให้เกิดความเท่าเทียมทางเพศในสังคมไทย"