Shane - Surada
I write this blog for expressing my thoughts,class concents and other interesting stuffs mostly in English but some will be in Thai (for my Thai students). Politics, economics, cultures and business related issues ca nbe found here. Lighter part of me is at http://www.withbigheart.blogspot.com
Monday, February 13, 2012
Valentine's day: for lovers and haters
When have we become this negative?
I blame enlightenment for that. We have been taught to reason everything and we learned so many things in school but how to live and how to love. We have questioned everything in front of us but we never question why we have to question and what makes us question what we question.
Who sets the rule?
We don't have to be in a relationship to appreciate the Valentine's day and we definitely don't have to hate the day or feel awkwardly cynical toward the day beause we are single or freshly dumped.
All I want to say for today is that "Let's keep the Valentine spirit going!" It is always nice to feel the love in the air, isn't it?
The picture is from: http://blogs.catster.com/the-cats-meow-a-cat-and-kitten-blog/tabby-tuesday-valentines-edition/2010/02/09/
Saturday, September 17, 2011
เ(ค)รื่องสองเพศ ตอนที่ 1
ลองถอดความแล้วได้ดังต่อไปนี้
ทางชีววิทยาแล้ว Hermaphrodite เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีทั้งเพศชายและหญิง (หรือเพศผู้และเมีย) ในตัวเดียวกัน สามารถพบได้มากในกลุ่มสัตว์ที่ไม่มีสันหลังโดยเฉพาะ แมลงและหอยทาก และพืชต่างๆ เพราะถือว่าการมีสองเพศเป็นลักษณะที่ปกติเพราะเป็นเงื่อนไขที่ทำให้สัตว์เหล่านี้สามารถแพร่พันธุ์ได้โดยที่สัตว์สองตัวที่มาผสมพันธุ์กันจะทำหน้าที่ทั้งเมียและผัวได้ ไม่จำกัดว่าครั้งนี้ที่ผสมพันธุ์แล้วเป็นเพศใดจะต้องเป็นไปตลอด บางครั้งเราอาจพบปลาลางกลุ่มที่มีสองเพศได้เช่นกันเพียงแต่จะไม่มากเท่าในหอยทากและแมลง
แต่ขอให้สังเกตตรงนี้ว่าสามีที่แท้จริงของ Alphrodite คือ Hephaestus ซึ่งเป็นเทพแห่งช่างตีเหล็กหน้าตาไม่ดีร่างกายพิการ และภรรยาของเขาก็คบชู้หลายคนทั้งที่เป็นเทพและอื่นๆ ส่วน Hermaphroditus นั้นเรียกได้ว่าหน้าตาดีจนมีนางไม้มาหลงรัก แต่เขาไม่รับรักของหล่อน ด้วยความหน้ามืดตามัวในความหลงร่างกายของเทพบุตรหล่อนจึงเข้าสิงเขาเพื่อให้ได้อยู่ด้วยกันตราบนิจนิรันดร์ จนร่างกายของเทพบุตรกลายเป็นสองเพศขึ้นมา
วันนี้เอาแค่นี้ก่อน เดี๋ยวมาต่อส่วนที่เป็นเรื่องพืชและสัตว์สองเพศวันหลังนะครับ
Tuesday, September 13, 2011
กำเนิดทองม้วน The Rise of Tongmuan

พ่อเห็นว่ามันดูซึมๆ งงๆ และสับสนมาก ตัวร้อนและสกปรก พ่อเลยขอแม่ว่าจะเลี้ยงไว้ แม่ไม่ได้อนุญาตแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะคิดว่าแมวยังป่วย อย่างน้อยก็น่าจะลองให้น้ำให้ข้าวให้เค้านอนพักเผื่อว่าเค้าจะหายป่วยแล้วก็หายากบ้านเราไปเอง แม่บอกให้พ่อกับป้านงค์หาลังเล็กมาให้ลูกแมวนอน เอาผ้ามารองนิดหน่อยให้พออุ่น แม่เล่าให้ฟังว่าลูกแมวมันหลับปุ๋ยไปเลยพอพ่อวางมันลงไปในลัง เหมือนกับว่ามันเหนื่อยมากและรู้สึกปลอดภัยเมื่อได้เข้ามาอยู่ในบ้าน
ตอนดึกเรากลับเข้าไปที่บ้านก็ตกใจเพราะเห็นตัวอะไรเล็กๆ อยู่ในลัง ตอนแรกนึกว่าเป็นหนูท่อ เพราะมันสีมืดๆ เทาๆ แต่พอดีแม่นั่งอยู่ แม่เลยเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง แต่พ่อนี่ปักใจไปแล้วว่าเลี้ยงแน่ เราเองก็สงสารเห็นว่ามันเป็นเด็กน้อย ไม่สบาย และแม่ก็มาทิ้งไว้อย่างนี้ ก็แอบคิดว่าจะเลี้ยงเหมือนกันแต่ยังไม่กล้าบอกแม่ รอเนียนๆ ไปเองดีกว่า ฮิๆ
เรื่องที่ต้องเถียงกันคือเรื่องชื่อเพราะว่าพอลูบๆ แมวอยู่ ป้านงค์อาบน้ำเสร็จนุ่งกระโจมอกเดินมาพอดี และเธอเรียกเจ้าแมวว่า "อีนางกวัก".... เดี๋ยวนะ.... มีใครเค้าชื่อนางกวักกันยุคนี้ อย่าว่าแต่ยุคนี้เลย ยุคไหนก็ตาม ไม่ควรมีใครชื่อนางกวักทั้งสิ้น!!!! ถามว่าทำไมเรียกแมวว่านางกวัก ป้านงค์บอกว่า "ก็หางมันม้วนกวักเข้าไปนี่นา" เราเห็นด้วย แต่ชื่อนางกวักนี่มันไม่ไหวจริงๆ เคยได้ยินว่าพวกหมาแมวนีถ้าหลงมาแล้วเราเลี้ยงดีๆ มันจะให้โชคกับเรา ไหนๆ ว่าจะเลี้ยงแล้วก็ตั้งชื่อให้มันดูดีๆ หน่อยแล้วกัน หางมันม้วนๆ เข้าไป "ชื่อทองม้วนแล้วกัน" ถึงไม่ใช่ทองแท้ แต่ก็แสดงถึงลักษณะพิเศษเฉพาะตัวของเค้า แล้วก็น่ารักกว่านางกวักตั้งเยอะ... เนอะ!!! ทองม้วนเลยได้ชื่อทองม้วนมาตั้งแต่ตอนนั้น
วันรุ่งขึ้นเราก็เห่อเจ้าของเล่นชิ้นใหม่ คือเจ้าทองม้วนนี่แหละ ก็ถ่ายรูป อัพโหลดลงเฟซบุคไปเยอะ จนพี่ออยมาบอกว่าทองม้วนมันดูท้องป่องๆ น่าจะมีพยาธิ เราเองก็คิดแล้วว่ายังไงก็ต้องพาทองม้วนไปตรวจ ไปฉีดยาเพราะว่าที่บ้านมีหลานสาว ถ้าทองม้วนมันติดเชื้อแล้วเอามาติดหลานก็จะไม่ดี เลยพาทองม้วนไปตั้งแต่วันที่่สองที่อยู่ที่บ้านเลย
คุณหมอที่โรงพยาบาลสัตว์ ใจดีมากแล้วเห็นเค้าเขียนข้างหน้าว่าเป็น Cat Clinic น่าจะเชี่ยวชาญเรื่องแมว พาม้วน (ชื่อย่อของทองม้วน) ไปตรวจ คุณหมอบอกว่าพยาธิเต็มท้องเลย ต้องให้ยาถ่ายพยาธิกับยาฆ่าเชื้อที่ต้องกินวันละ สองครั้งครั้งละ 5 ซีซี แล้วคุณหมอก็ให้ที่ป้อนยากับสอนวิธีป้อนมา ชีวิตนี้ไม่เคยทำอะไรเลย อยู่เมืองไทยคนที่บ้านทำให้หมด ประมาณว่าเข้าห้องน้ำแล้วกดเองนี่ก็ทำเยอะแล้วนะ พอตอนอยู่เมืองนอกคิดว่าล้างจานลำบากแล้ว มาเจอป้อนยาแมวนี่เครียดกว่ามาก บางทีก็กลัวมันจะกัด บางทีก็กลัวว่าจะบีบหัวมันเละ โอยยย...
แต่การให้ยาก็ผ่านไปได้ด้วยดี จนพ่อขอทำบ้างนี่แหละ...
พ่อเป็นคนมีความคิดสร้างสรรค์ หมอสั่งให้ให้ 5 ซีซี คือประมาณครึ่งหลอด พ่อให้นี่ประมาณหลอดครึ่ง หมอไม่ให้กินนม พ่อให้กินนมแล้วแอบแถมข้าวกับปลาด้วย หมอไม่ให้ออกไปเล่นนอกบ้าน พ่อพาไปเล่นในกล่องเครื่องมือซ่อมรถ หมอให้อึเป็นที่เป็นทาง พ่อตามใจไม่ดุ สรุปว่าป้านงค์ต้องรับบทโหดตุ้บตั้บสั่งสอนทองม้วนเป็นประจำ วันนี้เอาแค่นี้ก่อนนะ ดึกแล้ว :)
Sunday, September 11, 2011
[Seminar] Gender and Politics สัมมนาเพศกับการเมือง

มีหลายประเด็นที่น่าสนใจที่นักศึกษาพูดคุยถกเถียงกัน ส่วนที่่น่าสนใจและพอจะนำมาเล่าให้ทุกคนฟังได้มีดังต่อไปนี้
1. ประเด็นเรื่องการกำหนดเพศ
เป็นการพูดคุยว่าเราระบุตัวเราเป็นเพศตั้งแต่เมื่อไหร่ นักศึกษาบางท่านบอกว่าคนที่เป็นเพศอื่นๆ น่าจะเกิดจากการผิดปกติของร่างกาย ที่โครโมโซมพิการ แต่เพื่อนหลายคนไม่เห็นด้วย เพราะคิดว่าคนที่โครโมโซมพิการ คือมีอวัยวะเพศทั้งของชายและหญิงน่าจะเป็นกระเทยแท้ๆ แต่สำหรับคนที่เป็นเพศอื่นๆ นั้นไม่น่าจะเป็นเรื่องความผิดปกติไม่ว่าจะทางร่างกายหรือจิตใจ แต่น่าจะเรียกว่า "รสนิยมทางเพศ" มากกว่า เท่ากับว่านักศึกษาไม่เห็นด้วยกับเรื่องที่ว่าการที่มนุษย์จะชอบเพศใดเป็นเหตุทางธรรมชาติหรือสัญชาตญาณ (Nature)
ส่วนเรื่องที่ว่าจะเป็นจากการเลี้ยงดู (Nurture) นั้นนักศึกษาได้ถกเถียงและสรุปว่าการเลี้ยงดูอาจจะทำให้เด็กติดบุคลิกภาพแบบใดแบบหนึ่งโดยเฉพาะ เช่น ลูกทหารอาจมีลักษณะแข็งๆ หรือผู้ชายที่เป็นลูกชายคนเดียวและถูกเลี้ยงด้วยผู้หญิงหลายๆ คน หรือโตมากับพี่น้องผู้หญิงหลายคนก็อาจมี่ลักษณะอ่อนโยน หรือมีท่าทางคล้ายผู้หญิงแต่ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นเกย์ สรุปว่าเรื่องที่เราจะกำหนดว่าตนเองเป็นเพศอะไรนั้น ไม่เกี่ยวกับ Nature หรือ Nurture เป็นเรื่องของการระบุตัวตนของแต่ละปัจเจกเอง
2. ประเด็นอำนาจภาษากับเพศ
นักศึกษาเข้าใจว่า ภาษาเป็นสิ่งที่มีอำนาจ เป็นอาวุธของเพศหรือชนชั้นที่เป็นใหญ่ในสังคมแต่ละสังคม แต่ลักษณะสำคัญที่นักศึกษาสังเกตเห็นก็คือการที่ภาษาไทยใช้คำว่า "แม่" กับเรื่องที่เป็นเรื่องใหญ่ๆ เช่น แม่น้ำ แม่ทัพ แม่โพสพ แม่ธรณี หรือ มาตุภูมิ เป็นต้น ทุกแม่ในที่นี้เป็นทั้งผู้ให้กำเนิดหรือเป็นผู้ที่กุมอำนาจสูงสุดในพื้นที่หนึ่งๆ แต่ผู้หญิงที่เป็นเพศแม่กลับเป็นผู้ไร้อำนาจในสังคมไทย หรือแม้กระทั่งภาษาอังกฤษในสมัยก่อนก็ใช้คำเพศหญิงแทนประเทศ เช่นเรียกแทนประเทศว่า She หรือบ่งบอกว่าสิ่งใดเป็นของประเทศใดด้วยคำว่า Her แต่แล้วทุกประเทศก็เป็นส่วนหนึ่งของระบบการปกครองแบบชายเป็นใหญ่ (Patriarchy) เหมือนกับประเทศไทย
หรือการใช้คำที่แสดงการกระทำ เช่น "เสียบ แทง เอา ได้" กับการที่ผู้ชายจะไปมีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิง คล้ายกับลักษณะการร่วมเพศที่อวัยวะเพศชายจะเป็นสิ่งที่เข้าไปในอวัยวะเพศหญิง แต่เวลาผู้หญิงมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายนั้น การใช้คำจะบ่งบอกถึงการถูกกระทำด้วยการนำคำว่า ถูก ไปใส่ข้างหน้า เช่น "ถูกเสียบ ถูกแทง ถูกเอา หรือ เสีย"
แต่อาจารย์เสนอว่า ผู้หญิงสมัยนี้ปลดแอกตนเองจากการถูกกดขี่ทางภาษามากขึ้นเพราะว่าพวกเธอก็ใช้คำคล้ายๆ กับที่ผู้ชายใช้ เช่น "จะเอาผู้ชายคนนี้ให้ได้" และแสดงออกทางเพศมากขึ้น เช่น Samantha ในละคอนยอดนิยมของตะวันตกเรื่อง Sex and the City ที่เป็นตัวแทนการเปิดเสรีทางเพศในยุคนี้
3. ประเด็นเพศในวรรณกรรมและศิลปะ
นักศึกษาชี้ว่ามีการสอดแทรกเรื่องเพศในงานศิลปะต่างๆ เช่นรูปปั้น Hermaphroditus ลูกชายของเทพ Venus ที่เป็นชายรูปงานจนนางไม้หลงรักและมาสิงร่างจนกลายเป็นคนที่มีอวัยวะเพศทั้งของชายและหญิง ทีตั้งอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ ประเทศฝรั่งเศส หรือเทวรูปสองเพศของลาวที่เรียกกันว่า "บักหำหี"
หรืองานภาพวาดฝาผนังตามวัดของไทยที่แสดงให้เห็นการร่วมเพศทั้งระหว่าง ชายกับหญิง ชายกับชาย หรือการเล่นเพื่อนของหญิงกับหญิง จึงเป็นที่น่าสังเกตว่าเหตุใดภาพการร่วมเพศเหล่านี้จึงไปปรากฎบนกำแพงวัด
อีกประเด็นหนึ่งก็คือ การนำเรื่องเพศไปทำให้เป็นเรื่องอื่นๆ ที่สุนทรีย์ไม่ลามก เช่น งานวรรณกรรมยุครัตนโกสินตร์ อย่างกาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวานที่นำผู้หญิงไปเปรียบเทียบกับอาหารเผ็ดร้อน ที่ชายใดได้ลิ้มลองแล้วก็ทำให้ติดใจใรสชาติจนอยากรับประทานอีก หรือกลอนอื่นๆ ที่นำสัญญะอย่างอื่นมาแทนเรื่องการร่วมเพศ เพื่อสร้างความอ่อนช้อยงดงามทางภาษาไม่ใช่เป็นการบอกตรงๆ ว่า "ชั้นจะเอาเธอ"
คุยกันว่าเด็กทีเกิดจากการร่วมเพศของหญิงกับหญิงว่าเป็น "เด็กที่เกิดมาจากสองโยนี" หรือ "เด็กไม่มีกระดูก" เพราะอินเดียเชื่อว่าผู้เป็นพ่อคือผู้ที่ให้กระดูกกับทารกและผู้เป็นแม่คือผู้ที่ให้เลือดและเนื้อกับทารก เด็กที่เกิดจากการร่วมเพศของหญิงกับหญิงจะเป็นเด็กประหลาด คือไม่มีกระดูก แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีชีวิตรอดได้
ส่วนญี่ปุ่นในศตวรรษที่ 17 มีการร่วมเพศระหว่างชายที่โตแล้วกับเด็กผู้ชายในลักษณะคล้ายกับกรีกโบราณที่ชายโตแล้วเป็นผู้กระทำเด็กชาย และเมื่อเด็กชายโตขึ้นก็จะเป็นผู้กระทำต่อเด็กชายรุ่นต่อๆ ไป จะต่างก็ตรงที่ว่าความสัมพันธ์ลักษณะนี้ในกรีกจะเป็นไปเพื่อให้ชายที่โตแล้วเป็นผู้สอนความเป็นชายให้เด็ก คือเป็น "พิธีส่งต่อความเป็นชาย" แต่ในญี่ปุ่นนั้นเป็นการมีเพศสัมพันธ์กันเฉยๆ (เรียกง่ายๆ ว่า "เอากันเฉยๆ") การมีความสัมพันธ์กับเด็กชายเป็นที่นิยมมากไม่ใช่แค่ในหมู่พระศาสนาพุทธของไทยที่มีข้อห้ามทางวินัยเรื่องการถูกเนื้อต้องตัวผู้หญิง (เลยไปถูกเนื้อต้องตัวผู้ชายแทน ?) เพราะว่าเรื่องแบบนี้ก็เกิดขึ้นในหมู่พระศาสนาพุทธของประเทศญี่ปุ่นเช่นเดียวกัน
และในวงสัมมนาได้ถกเถียงกันว่าเรื่องของการร่วมเพศระหว่างพระที่ถือศีลกับฆารวาส ที่เรามองว่าพระผิดเพราะพระถือศีลมากและเป็นตัวแทนของสถาบันศาสนา โดยเฉพาะศาสนาพุทธที่เป็นศาสนาหลักของสังคมไทยนั้น ผิดมากน้อยหรือเท่ากับการที่นักบวชของศาสนาอื่นกระทำผิดวินัยเรื่องชู้สาวในกรณีเดียวกัน (ผิดน้อยกว่าเพราะศาสนาอื่นไม่ใช่ศาสนาหลัก?) เปรียบเทียบกับเรื่องการประพฤติผิดทางวินัยระหว่างอาจารย์กับลูกศิษย์ว่าระหว่างพระกับอาจารย์ใครผิดมากกว่า วงสัมมนาคุยกันว่าอาจารย์ก็ถือว่าเป็นตัวแทนหลักของสถาบันการศึกษาและมีเครื่องแบบ (Uniform) และมีข้อปฏิบัติทางวินัยเช่นเดียวกับนักบวช (หรือผิดน้อยกว่าเพราะประเทศไทยไม่ได้เน้นเรื่องการศึกษา--คำขวัญเรามีแค่ "ชาติ ศาสน์ กษัตริย์")
แต่ที่เห็นพ้องต้องกันก็คือ คนที่อยู่ในเครื่องแบบอย่างไรก็ผิดมากกว่า คือพระผิดมากกว่าฆารวาส และอาจารย์ผิดมากกว่าศิษย์ เพราะความสัมพันธ์นั้นเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่เท่าเทียมโดยมีนัยยะของความสัมพันธ์เชิงอำนาจ (Relations of Power) ซ่อนอยู่ในความสัมพันธ์นั้น
5. การร่วมเพศ
พูดเรื่องท่าทางการร่วมเพศและการสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง ด้วยการยกตัวอย่างกามาสูตร 64 ท่าของอินเดียที่เรียกว่า "ศิลปะทั้ง 64" ส่วนของไทยนักศึกษายืนยันว่ามีความรู้ที่มาในรูปแบบวีดีทัศน์ที่เรียกว่า "108 ท่า ลีลามังกร" ซึ่งหาดูได้ตามร้านขายหนังโป๊ทั่วไปหรืออาจดาวน์โหลดได้ตามอินเตอร์เน็ต อีกทั้งยังให้ความเห็นว่าในปัจจุบันการเผยแพร่ความรู้เรื่องเพศสัมพันธ์มีอย่างกว้างขวางมากขึ้นโดยเฉพาะความรู้ที่มีเรื่องแพทย์เข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น คอลัมน์ในนิตยสารรายเดือนต่าง เช่น Men's Health หรือ Cosmopolitan ที่นำเอาเรื่องเพศมาประยุกต์เข้ากับการออกกำลังกาย (ประมาณว่าการออกกำลังกายท่านี้จะทำให้เราร่วมเพศในท่านี้ได้ทะมัดทะแมงขึ้นเป็นต้น) หรือเป็นการสอนการวางตัวเวลาออกเดทกับเพศตรงข้าม ฯลฯ
6. เรื่องเพศในสังคมไทย
นักศึกษาเห็นพ้องต้องกันว่าสังคมไทยเปิดกว้างเรื่องเพศมากขึ้น ให้โอกาสเพศอื่นๆ ในสังคมมากขึ้น เช่นมีเวทีประกวดสำหรับเพศต่างๆ นักแสดงนักร้องออกมาเปิดเผยมากขึ้น และมีพื้นที่ในสื่อ (Media) ให้กับเพศอื่นๆ มากขึ้น แต่ยังมีความไม่เข้าใจเกี่ยวกับเพศอื่นๆ อยู่หลายประเด็นเช่น การมองว่าเพศที่สามโดยเฉพาะชายรักชายเป็นเพศที่ทำให้โรคติดต่อทางเพศ โดยเฉพาะเอดส์ระบาด ทั้งๆ ที่สถิติได้แสดงให้เห็นแล้วว่าทุกๆ เพสมีส่วนช่วยเหลือให้โรคติดต่อทางเฑสแพร่ระบาดอย่างกว้างขวาง
"ความไม่เข้าใจและความกลัวนี้เองที่เป็นอุปสรรคทางปัญญากั้นขวางไม่ให้เกิดความเท่าเทียมทางเพศในสังคมไทย"
Wednesday, July 13, 2011
[Book] Dynamic Capabilities & Strategic Management (INTRODUCITON)

The book is written by David J. Teece, a Chaired Professor at the University of California Berkely, where he was the Director of the Institute of management, Innovation, and Organization for 25 years--and this book is pretty much his insights on management issues.
In the introduction, he explains that "strategic management" is about major decisions (that are complex--because interdependencies ;and uncertainty in customer reaction, competitor response, and market and technological change--and important) and invesment needed to reach the enterprises' goals (taking actions and marketing investment to reflect opportunities and changing circumstances) and it also is what explains the ability of the business enterprises to generate wealth for their stakeholders and shareholders.
Unfortunately, almost all management models ignore "intagible assets," innovation, firm capabilities and disequilibrium phenomena which actually and frequently happen in the real world, especially in the "advanced Post-industrial societies."
The idea of Post-industrial societies, Teece explians, is about to put creation, ownership and deployment of intangible assets (esp. Knowledge and relationships) at the core of any strategies that the enterprises would implement to yeild shareholder value. And the tangible assets are not just found in individuals, but also in processes and procedures and/pr (strategic) operation rules that could be essential in supporting new products and services but are still ignored in market approaches.
This book looks in fields in an endeavor to identify characteristics of the business enterprises and of management actions, designs and processes which undergrid superior enterprise performance.
It, moreover, provides analysis of markets, competition, innovation and the organization of the business enterprise itself by explianing how firms stay alive and how they develop uniqueness and competitive advantage in given environments.
The book encourages enterprises to find their "sustainable advantage" which will be created by building and protecting their existing (and potential) intangible assets (which are their competitive advantage).
All in all, the focus of Dynamic Capabilities is on innovation (both technological and organizational) and market disequilibrium since it outlines a new theory of management which can be the connerstone to a deeper understanding of the business enterprise, competitive processes, competitive outcomes and wealth creation in "advanced post-industrial knowledge-based societies."
Teece, Davod J. 2009. Dynamic Capabilities&Strategic Management: Organizing for Innovation and Growth. Oxford University Press. New York
Sunday, July 10, 2011
บทสวดมนต์
ปล. เพื่อนที่นับถึอศาสนาอื่น ถ้าศาสนาไม่ห้ามก็สวดได้นะ หรือไม่ก็ไปหาของศาสนาตัวเองมาสวดก็ได้
บทสวดมนต์มีดังต่อไปนี้นะครับ
บทสวดมนต์ประจำวัน
1. บูชาพระรัตนตรัย
อิมินา สักกาเรนะ พุทธัง อภิปูชะยามิ อิมินา สักกาเรนะ ธัมมัง อภิปูชะยามิ อิมินา สักกาเรนะ สังฆัง อภิปูชะยามิ
2. บทกราบพระรัตนตรัย
อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา พุทธังภะคะวันตัง อภิวาเทมิ (กราบ)
สะวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม ธัมมัง นะมัสสามิ (กราบ)
สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สังฆัง นะมามิ (กราบ)
นโม 3 จบ
3. ขอขมาพระรัตนตรัย
วันทามิ พุทธัง สัพพะ เมโทสัง ขะมะถะเม ภันเต
วันทามิ ธัมมัง สัพพะ เมโทสัง ขะมะถะเม ภันเต
วันทามิ สังฆัง สัพพะ เมโทสัง ขะมะถะเม ภันเต
4. คำกล่าวบูชาไตรสรณคมน์
พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
ทุติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ทุติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
ทุติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
ตะติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ตะติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
ตะติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
5.พระพุทธคุณ
อิติปิโส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชา จะระณะ สัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู
อนุตตะโร ปุริสะธัมมะสาระถิ สัตถา เทวมนุสสานัง พุทโธภะคะวาติ
พระธรรมคุณ
สวากขาโต ภะคะวะตาธัมโม สันทิฏฐิโก อะกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปะนะยิโก ปัจจัตตังเวทิตัพโพ วิญญูหิติ
พระสังฆคุณ
สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อุชุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
ญายะปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สามีจิปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
ยะทิทังจัตตาริ ปุริสะยุคานิ อัฏฐะปุริสะปุคคะลา เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
อาหุเนยโย ปาหุเนยโย ทักขิเนยโย อัญชะลีกะระณีโย อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติ
6.บทชัยมงคลคาถา (พาหุงมหากา)
พาหุงสะหัส สะมะภินิมมิตะสาวุธันตัง
ครีเมขะลัง อุทิตะโฆ ระสะเสนะมารัง
ทานาทิธัมมะวิธินา ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ
มาราติเร กะมะภิยุชฌิตะสัพพะรัตติง
โฆรัมปะนาฬะวะกะมักขะมะถัทธะยักขัง
ขันตีสุทันตะวิธินา ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ
นาฬาคิริง คะชะวะรัง อะติมัตตะภูตัง
ทาวัคคิจักกะมะสะนีวะ สุทารุณันตัง
เมตตัมพุเสกะวิธินา ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ
อุกขิตตะขัคคะมะติหัตถะสุทารุณันตัง
ธาวันติโยชะนะปะถังคุลิมาละวันตัง
อิทธีภิสังขะตะมะโน ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ
กัตตะวานะ กัฏฐะมุทะรัง อิวะ คัพภินียา
จิญจายะ ทุฏฐะวะจะนัง ชะยะกายะมัชเฌ
สันเตนะ โสมะวิธินา ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ
สัจจัง วิหายะ มะติสัจจะกาวาทะเกตุง
วาทาภิโรปิตะมะนัง อะติอันธะภูตัง
ปัญญาปะทีปะชะลิโต ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ
นันโทปะนันทะภุชะคัง วิพุธัง มะหิทธิง
ปุตเตนะ เถระภุชะเคนะ ทะมาปะยันโต
อิทธูปะเทสะวิธินา ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ
ทุคคาหะทิฏฐิภุชะเคนะ สุทัฏฐะหัตถัง
พรัหมัง วิสุทธิชุติมิทธิพะกาภิธานัง
ญาณาคะเทนะ วิธินา ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ
เอตาปิ พุทธะชะยะมังคะละอัฉฐะคาถา โย
วาจะโน ทินะทิเน สะระเต มะตันที
หิตวานะเนกะวิวิธานิ จุปัททะวานิ
โมกขัง สุขัง อะธิคะเมยยะ นะโร สะปัญโญ
7.ชัยปริตร (มหาการุณิโก)
มะหาการุณิโก นาโถ........... หิตายะ สัพพะปาณินัง
ปูเรต๎วา ปาระมี สัพพา..........ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ...........โหตุ เต ชะยะมังคะลัง ฯ
ชะยันโต โพธิยา มูเล..............สัก๎ยานัง นันทิวัฑฒะโน
เอวัง ต๎วัง วิชะโย โหหิ............ชะยัสสุ ชะยะมังคะเล
อะปะราชิตะปัลลังเก...............สีเส ปะฐะวิโปกขะเร
อะภิเสเก สัพพะพุทธานัง.........อัคคัปปัตโต ปะโมทะติ ฯ
สุนักขัตตัง สุมังคะลัง..............สุปะภาตัง สุหุฏฐิตัง
สุขะโณ สุมุหุตโต จะ...............สุยิฏฐัง พ๎รัห๎มะจาริสุ
ปะทักขิณัง กายะกัมมัง...........วาจากัมมัง ปะทักขิณัง
ปะทักขิณัง มะโนกัมมัง...........ปะณิธี เต ปะทักขิณา
ปะทักขิณานิ กัต๎วานะ..............ละภันตัตเถ ปะทักขิเณ ฯ
ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง.............รักขันตุ สัพพะเทวะตา
สัพพะพุทธานุภาเวนะ..............สัพพะธัมมานุภาเวนะ
สัพพะสังฆานุภาเวนะ...............สะทา โสตถี ภะวันตุ เต ฯ
ท่อง: พระพุทธเจ้าทรงชนะมารด้วยฉันได้ฉันใด ขอให้ข้าพเจ้า ชนะเรื่อง………ด้วยฉันนั้น
8. ท่องพระพุทธคุณเท่าอายุ บวกหนึ่ง
พระพุทธคุณ
อิติปิโส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชา จะระณะ สัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู
อนุตตะโร ปุริสะธัมมะสาระถิ สัตถา เทวมนุสสานัง พุทโธภะคะวาติ
9. คาถาชินบัญชร
เริ่มสวด นโม 3 จบ
■นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
■นึกถึงหลวงปู่โตแล้วตั้งอธิษฐาน
ปุตตะกาโมละเภปุตตัง ธะนะกาโมละเภธะนัง
อัตถิกาเยกายะญายะ เทวานังปิยะตังสุตตะวา
อิติปิโสภะคะวา ยะมะราชาโน ท้าวเวสสุวัณโณ
มรณังสุขัง อะระหังสุคะโต นะโมพุทธายะ
■เริ่มบทพระคาถาชินบัญชร
1.ชะยา สะนา กะตา พุทธา เชตะวา มารัง สะวา หะนัง
จะตุ สัจจา สะภัง ระสัง เย ปิวิงสุ นะรา สะภา
2.ตัณหังกะราทะโย พุทธา อัฏฐะวีสะติ นา ยะกา
สัพเพ ปะติฏฐิตา มัยหัง มัตถะเก เต มุนิส สะรา
3.สีเส ปะติฏฐิโต มัยหัง พุทโธ ธัมโม ทะวิโล จะเน
สังโฆ ปะติฏฐิโต มัยหัง อุเร สัพพะคุณา กะโร
4.หะทะเย เม อะนุรุทโธ สารีปุตโต จะ ทักขิเณ โกณฑัญโญ ปิฏฐิภา คัสสะมิง โมคคัลลาโน จะวา มะเก
5.ทักขิเณ สะวะเน มัยหัง อาสุง อานันทะราหุโล กัสสะโป จะมะหา นาโม อุภาสุง วามะโส ตะเก
6.เกสะโต ปิฏฐิภา คัสสะมิง สุริโย วะ ปะภัง กะโร นิสินโน สิริสัม ปันโน โสภีโต มุนิปุง คะโว
7.กุมาระกัสสโป เถโร มะเหสี จิตตะ วาทะโก โส มัยหัง วะทะเน นิจจัง ปะติฏฐาสิคุณากะโร
8.ปุณโณ อังคุลิมาโร จะ อุปาลี นันทะ สีวะลี เถรา ปัญจะ อิเม ชาตา นะลาเต ติละกา มะมะ
9.เสสาสีติ มะหาเถรา วิชิตา ชินะสาวะกาเอเตสีติ มะหาเถรา ชิตะวันโต ชิโนระสา ชะลันตา สีละเตเชนะ อังคะมังเคสุ สัณฐิตา
10.ระตะนัง ปุระโต อาสิ ทักขิเณ เมตตะ สุตตะกัง ธะชัคคัง ปัจฉะโต อาสิ วาเม อังคุลิมาละกัง
11.ขันธะโมระปะริตตัญจะ อาฏานาฏิยะ สุตตะกัง อากาเส ฉะทะนัง อาสิ เสสา ปาการะสัณฐิตา
12.ชินา นานาวะระสังยุตตา สัตตัปปาการะ ลังกะตา วาตะปิตตาทะสัญชาตา พาหิรัช ฌัตตุปัททะวา
13.อะเสสา วินะยัง ยันตุ อะนันตะชินะ เตชะสา วะสะโต เม สะกิจเจนะ สะทา สัมพุทธะปัญชะเร
14.ชินะปัญชะระมัชฌัมหิ วิหะรันตัง มะฮี ตะเล สะทา ปาเลนตุ มัง สัพเพ เต มะหาปุริสาสะภา
15.อิจเจวะมันโต สุคุตโต สุรักโข ชินานุภาเวนะ ชิตุปัททะโว ธัมมานุภาเวนะ ชิตาริสังโฆ สังฆานุภาเวนะ ชิตันตะราโย สัทธัมมานุภาวะปาลิโต จะรามิ ชินะ ปัญชะเรติ.
ชินะปัญชะระคาถา นิฎฐิตา
10. บทแผ่เมตตาแก่ตนเอง
อะหัง สุขิโต โหมิ ขอให้ข้าพเจ้ามีความสุข
นิททุกโข โหมิ ปราศจากความทุกข์
อะเวโร โหมิ ปราศจากเวร
อัพยาปัชโฌ โหมิ ปราศจากอุปสรรคอันตรายทั้งปวง
อะนีโฆ โหมิ ปราศจากความทุกข์กายทุกข์ใจ
สุขี อัตตานัง ปะริหะรามิ มีความสุขกายสุขใจ รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเถิด
11. บทแผ่เมตตาให้สรรพสัตว์
สัพเพ สัตตา สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่เจ็บตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น
อะเวรา โหนตุ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย
อัพะยาปัชฌา โหนตุ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย
อะนีฆา โหนตุ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีความทุกข์กาย ทุกข์ใจเลย
สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ จงมีความสุขกาย สุขใจ รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้น เถิด ฯ
12. บทแผ่ส่วนกุศล
อิทัง เม มาตาปิตูนัง โหตุ สุขิตา โหนตุ มาตาปิตะโร
อิทัง เม ญาตีนัง โหตุ สุขิตา โหนตุ ญาตะโย
อิทัง สัพพะเทวะตานัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพเทวา
อิทัง สัพพะเปตานัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพ เปตา
อิทัง สัพพะเวรีนัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพเวรี
อิทัง สัพพะสัตตานัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพ สัตตา
13. คำอธิษฐานอโหสิกรรม
ข้าพเจ้าขออโหสิกรรม กรรมใดที่ทำแก่ผู้ใด ในชาติใดๆก็ตาม ขอให้เจ้ากรรมนายเวรจง อโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้า อย่าได้จองเวรจองกรรมต่อไปเลย แม้แต่กรรมที่ใครๆทำแก่ข้าพเจ้าก็ตาม ข้าพเจ้าขออโหสิกรรมให้ทั้งสิ้น ยกถวายพระพุทธเจ้าเป็นอภัยทานเพื่อจะได้ไม่มีเวรกรรมต่อไปด้วยอานิสงส์แห่งอภัยทานนี้ ขอให้ข้าพเจ้า ครอบครัว บุตรหลาน ตลอดจนวงศาคณาญาติ และผู้อุปการคุณของข้าพเจ้ามีความสุข ความเจริญ ปฏิบัติแต่สิ่งที่ดีและสิ่งที่ชอบด้วยเทอญฯ